สาระพระคัมภีร์
แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรกครั้งเดียว(แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะพวกเรา ที่เชื่อก็จะได้รับเช่นกันในวันสุดท้าย)ในโลกแบบนี้ จะมีความน่าเชื่อถือหรือหลักฐานอะไรมายืนยันหรือพิสูจน์ได้บ้าง
1.ปราศจากพระศพ
เป็น ธรรมดาอยู่เองที่ศาสดา หรือคนสำคัญ แม้แต่นักบุญในคริสตศาสนา เมื่อตายไป ก็ยังคงมีศพ ชิ้นส่วนศพ หรือชิ้นส่วนพระธาตุ อยู่เป็นหลักฐาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของคน เหล่านี้ได้ดี หากแต่พระเยซูเจ้านั้น พระมหาศาสดาแห่งศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก กลับไม่เคยหลงเหลือสิ่งเหล่านี้ไว้เลย ขนาดที่ว่ามีการเฝ้าพระศพโดยบรรดาทหารเพราะกลัวพวกสาวกมาขโมยศพไป แต่ในพระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างชัดเจนว่า
มธ 27:62-66 ทหารยามเฝ้าพระคูหา
วันรุ่งขึ้น เป็นวันสับบาโตบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีไปพบปีลาตพร้อมกัน กล่าวว่า “ท่านขอรับ เราจำได้ว่าคนลวงโลกผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยพูดว่า “ฉันจะกลับคืนชีพหลังจากสามวัน” ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สาม เพื่อมิให้บรรดาศิษย์ของเขาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า “เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว” การหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน” ปีลาตจึงบอกเขาว่า “ท่านจงจัดทหารยามไปเฝ้าตามใจชอบเถิด” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวดโดยประทับตราที่ หินปิดทางเข้าและวางยามไว้
แต่คนเฝ้าอาจมีกำลังมากกว่าคนข้างนอก แต่ก็ไม่อาจมีกำลังเหนือคนข้างในได้ เมื่อพระเยซูกลับคืนชีพ สิ่งเดียวที่พวกทหารยามพอจะทำได้คือ
มธ 28:11-15 ผู้นำชาวยิวป้องกันตน
เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและกระทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้
เรื่องโกหกนี้ถูกเล่าลือจนถึงปัจจุบัน ความน่าขบขันอันน่ารักที่ผู้บันทึกพระวรสารจงใจเขียนลงไป คือคำแก้ตัวอันตลกของทหารยามที่ว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าคุณหลับยาม คุณจะรอดการลงโทษได้ยังไงครับ และถ้าคุณหลับคุณรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีการขโมยศพ รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนทำ ก็คุณหลับอยู่นี่นา คำแก้ตัวนี้จึงขัดกับสามัญสำนึกอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคุณหลับอยู่ข้างหน้าคูหา หินอันใหญ่มโหฬารปิดปากประตู ถ้ามีชาวบ้านมาผลักก็ต้องใช้ตั้งหลายคน เสียงดังแน่นอน แถมต้องช่วยกันเข้าไปแบกศพอีก จะหนีไวก็ไม่ได้ เพราะหนักศพ แต่ทหารหาญชาวโรมันก็ยังหลับสนิท นอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น แต่ดันมารู้ได้ว่าศิษย์ขโมย ดังนั้นการกล่าวตรงๆว่าเรื่องนี้ ยังลือกันอยู่ในสมัยที่คนเขียนเขียนเรื่องนี้ ก้เป้นการแสดงให้เห็นว่า มนุษย์นั้นยอมรับ เรื่องเท็จที่พอจะเข้าใจได้ มากกว่าความจริงอันเหลือเชื่อ มาแต่ไหนแต่ไร
นอกจาก มารีย์ชาวมักดาลา ศิษย์หญิงคนแรกที่ได้โลดเต้นยินดี วิ่งออกไปยืนยันเรื่องนี้ แบบไม่กลัวเลยว่าใครจะไม่เชื่อ ถ้าคุณคิดจะโกหก เรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ที่สุดขัดกับสามัญสำนึกมากขนาดนี้ คุณคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะแต่งคำพูดยังไง หรือจะหลอกคนยังไง แต่มารีย์ หญิงคนนี้ วิ่งเพริศไปด้วยความปิติพูดแค่คำว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ไม่มีหลักฐานซะอย่างแต่ก็จะพูด
ถ้า เราดูสถานการณืตอนนี้ เหล่าสาวกกำลังสิ้นหวัง หลายๆคนคงรู้สึกเหมือนโดนหลอก โดนหักหลัง หมดที่พึ่ง แทนที่จะได้เป็นผู้ติดตามผู้ปลดปล่อย ตอนนี้กลายเป็นลูกน้องนักโทษประหาร หลบซ่อนด้วยความกลัว พูดง่ายๆว่า งานนี้จบสิ้นแล้ว ศาสดาอ้างตัวเป็นพระเจ้า แต่ตายอย่างทุเรศช่วยตัวเองยังไม่ได้ ศาสนานี้จบแล้ว.... แต่ข่าวดีอันเหลือเชื่อที่นำมาโดยมารีย์ มักดาลา ก็ยังทำให้มีศิษย์แค่ 2คนยอมวิ่งออกจากที่ซ่อนไปดูความจริง
เปโตรและยอห์น ได้เห็นว่าพระศพหายไป เขาอัศจรรย์ใจ แต่ยังสับสน และกลับไปซ่อนกันต่อ เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป!!
แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ต้องรอนาน พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาต่อหน้าพวกเขา และศิษย์จำนวนมาก
1คร 15:4
พระองค์ ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย
คำถามง่ายๆต่อไปนี้ ตอบได้ด้วยคำตอบเดียวที่พอจะมีเหตุผล
ก.อะไรทำให้บรรดาสาวกยอมออกจากที่ซ่อนมาเทศนาเรื่องการกลับคืนชีพทั้งที่รู้ว่าจะต้องตายและต้องโดนเบียดเบียน
ข.อะไรที่ทำให้คนกลัวแทบตาย เปลี่ยนเป็นกล้าลืมตาย
ค.คนพวกนี้เอาชีวิตเข้าแลก กับเรื่องโกหกงั้นหรือ มันจะได้อะไร
ง. เปาโลเองอ้างว่าการตกม้าของตนนับเป็นการสำแดงองค์จากการกลับคืนชีพของพระ เยซูด้วย และถ้ามันไม่จริง คนที่ตามฆ่าคริสตชน กลายมาเป็นคนประกาศข่าวดีไปทั่วโลกได้อย่างไร คนหนุ่มที่กำลังก้าวหน้า มีเหตุผลอะไรที่เขากลับมาเข้าพวกศัตรู และกลับเป็นศัตรูกับพวกพ้อง จนยอมตายในที่สุด
ถ้าใครจะฉลาดหาเหตุผลทางสังคมร้อยแปดพันเก้ามายัดให้ ก็ไม่มีอะไรที่มีน้ำหนักพอ นอกจากเหตุผลเดียวที่ว่าคนเหล่านี้ได้ เห็นปาฏิหารย์ที่เป็นการยืนยันว่าถึงพวกเขาจะตายพวกเขาก็จะได้กลับคืนชีพเช่นกัน ด้วยตาตัวเอง
คน เรายอมตายเพื่อยืนยันความจริงไม่มีใครยอมตายเพื่อยืนยันเรื่องโกหก และคนเรายอมตายเพราะมีความหวังในชีวิตหน้า ไม่ใช่ยอมตายเพียงเพราะผลประโยชน์ในชีวิตนี้
ที่มา http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=7409.0