พระคัมภีร์ไบเบิล
แชร์ 479 แชร์ 530 แชร์ 470
กำเนิดพระคัมภีร์ไบเบิล
พระคัมภีร์ไบเบิลเกิดจากการรวมหนังสือหลาย ๆ เล่มเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีการนำพระคัมภีร์ฮีบรูและพระคัมภีร์ยูดายบางเล่มเข้ามารวมด้วย เมื่อนับอายุหนังสือเล่มแรกจากม้วนคัมภีร์โทราห์ของศาสนาฮีบรู ชื่อ หนังสือปฐมกาล (Genesis) อายุของพระคัมภีร์ไบเบิลก็จะเริ่มต้นเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสกาล (เขียนขึ้นก่อนศาสนาพุทธประมาณ 1,300 ปี แต่พระคริสต์มาประสูติหลังการเกิดพุทธศาสนา) ดังนั้น หากนับอายุของไบเบิลมาถึงตอนนี้ก็มีอายุประมาณ 4,500 ปี ทั้งนี้ไบเบิลจะเป็นบันทึกเรื่องราวความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์ และ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ลงในแผ่นหนัง โดยผู้บันทึกจะม้วนแผ่นหนังนั้นเก็บไว้ในไหดินเผาเพื่อรักษาไม่ให้เสื่อมสลาย
พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนโดยใคร
เรื่องราวในหนังสือแต่ละเล่มถูกบันทึกไว้โดยมนุษย์ที่ถูกเลือกโดยพระเจ้า พระองค์ดลใจมนุษย์ในรูปแบบและวิธีการแตกต่างกัน เช่น ให้มีบางคนเห็นเป็นภาพนิมิต บางคนได้ยินพระสุรเสียง บางคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น และดลใจให้เขาบันทึกเอาไว้ แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แต่ละช่วงเวลา กระจัดกระจายออกไปในหลายสถานที่ ยาวนานหลายพันปี และ มีมนุษย์ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้บันทึกจำนวนมาก
จนกระทั่งหลังการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู พระจิตได้ทรงดลใจให้คริสตชนในยุคเริ่มต้น คิดจะรวบรวมบันทึกเหล่านั้นที่ถูกเก็บไว้ ทรงนำทางให้พวกเขาได้พบม้วนบันทึกโบราณเหล่านั้นที่ทรงปกป้องเอาไว้มาหลายพันปี แล้วนำม้วนบันทึกหนังสือมารวมกันเป็นเล่มได้ในที่สุด
จนกระทั่งหลังการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู พระจิตได้ทรงดลใจให้คริสตชนในยุคเริ่มต้น คิดจะรวบรวมบันทึกเหล่านั้นที่ถูกเก็บไว้ ทรงนำทางให้พวกเขาได้พบม้วนบันทึกโบราณเหล่านั้นที่ทรงปกป้องเอาไว้มาหลายพันปี แล้วนำม้วนบันทึกหนังสือมารวมกันเป็นเล่มได้ในที่สุด
หนังสือถูกรวมเป็นพระคัมภีร์เมื่อไหร่
ในช่วงแรกหลังการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซู ยังไม่มีการรวมหนังสือเป็นพระคัมภีร์ไบเบิลขึ้น มีเพียงแต่พระคัมภีร์ของชาวฮีบรูและยูดาย และบันทึกจดหมายของอัครสาวกกระจัดกระจายอยู่ในสังคมคริสตชนในเวลานั้น จนกระทั่งเริ่มมีการคิดจะรวบรวมขึ้น และ ที่สุดก็สำเร็จภายใต้ช่วงการปกครองของจักรวรรดิโรมัน จนกระทั่งจักรวรรดิโรมันยอมรับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของจักรวรรดิ ก็ทำให้การเผยแพร่ศาสนาไปพร้อมกับพระคัมภีร์ไบเบิลของพระศาสนจักรคาทอลิกนั่นเอง
พระคัมภีร์ของแต่ละนิกายมีจำนวนไม่เท่ากัน
ในช่วงเริ่มต้นหลังจากมีการรวบรวมหนังสือม้วนต่าง ๆ โดยการทรงนำของพระจิตจนสำเร็จเป็นพระคัมภีร์ไบเบิล ศาสนาคริสต์ไม่ได้มีนิกาย ยังคงใช้พระคัมภีร์ไบเบิลของพระศาสนจักรคาทอลิกเป็นหนึ่งเดียวยาวนานมาประมาณ 1,000 ปี โดยพระศาสนจักรคาทอลิกยึดสารบบเซปตัวจินส์ มีพันธสัญญาเดิม 46 เล่ม และ พันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม รวมเป็น 73 เล่ม
จนประมาณต้นศตวรรษที่ 10 (ต้นปี คศ. 1000) พระศาสนจักรคาทอลิกตะวันออกได้ประกาศแยกตัวออกจากโรม และ เรียกตัวเองว่า "ออทอดอกซ์" (นิกายหลักที่สอง) และ ต่อมาอีก 500 กว่าปี ในปี คศ. 1530 โดยประมาณ นักบวชคาทอลิก ชื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ประกาศแยกตัวออกจากอำนาจของโรม และตั้งกลุ่มตัวเองใหม่เรียกว่า "โปรแตสแตนท์ (คริสเตียน)" (นิกายหลักที่สาม)
ในการแยกตัวออกจากโรมของออทอดอกซ์และโปรแตสแตนท์ต่างก็มีการกำหนดเกณฑ์ของจำนวนหนังสือของตัวเองขึ้นใหม่ ดังนี้
จนประมาณต้นศตวรรษที่ 10 (ต้นปี คศ. 1000) พระศาสนจักรคาทอลิกตะวันออกได้ประกาศแยกตัวออกจากโรม และ เรียกตัวเองว่า "ออทอดอกซ์" (นิกายหลักที่สอง) และ ต่อมาอีก 500 กว่าปี ในปี คศ. 1530 โดยประมาณ นักบวชคาทอลิก ชื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ประกาศแยกตัวออกจากอำนาจของโรม และตั้งกลุ่มตัวเองใหม่เรียกว่า "โปรแตสแตนท์ (คริสเตียน)" (นิกายหลักที่สาม)
ในการแยกตัวออกจากโรมของออทอดอกซ์และโปรแตสแตนท์ต่างก็มีการกำหนดเกณฑ์ของจำนวนหนังสือของตัวเองขึ้นใหม่ ดังนี้
- ออทอดอกซ์ ยอมรับการใช้สารบบเซปตัวจินส์ แต่ขยายขอบเขตของการนับหนังสือเพิ่มจึงทำให้นิกายออทอดอกซ์มีหนังสือในพระคัมภีร์มากที่สุด คือ 78 เล่ม (พันธสัญญาเดิม 51 เล่ม และ พันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม)
- โปรแตสแตนท์ ยอมรับการใช้สารบบของสภาแจมเนีย โดยตัดพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมออกไป 7 เล่ม คือ หนังสือโทบิต, หนังสือโทบิต, หนังสือยูดิธ, หนังสือเอสเธอร์ (บางส่วน), หนังสือมัคคาบี, หนังสือปรีชาญาณ, หนังสือบารุค, หนังสือดาเนียล (บางส่วน) ทำให้คริสเตียนมีหนังสือพระคัมภีร์ 66 เล่ม (พันธสัญญาเดิม 39 เล่ม และ พันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม)
พระคัมภีร์มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
พระคัมภีร์มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นถ้อยคำของพระเจ้า เป็นความจริงสูงสุด คริสตชนยึดพระคัมภีร์เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างเคร่งครัด แม้จะมีหลายประเด็นอาจอยู่เหนือการเข้าใจด้วยสติปัญญาอันจำกัดของมนุษย์ แต่ด้วยความเชื่อ พระเจ้าจะประทานสติปัญญาให้เข้าใจผ่านประสบการณ์ส่วนตัวที่มีกับพระองค์
ไบเบิลเขียนถึงพระเจ้าไว้ว่าอย่างไร
ในใจความสำคัญทั้งหมดของไบเบิลพูดถึงพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง (จิตในรูปอื่น คือ ทูตสวรรค์ , จักรวาล , ดวงดาว , มิติกาลเวลา , เอกภพ) และ ต่อมาพระองค์ได้ทรงสร้างโลกและบรรดาชีวิตต่าง ๆ และสร้างมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสุดท้าย ให้อยู่ในอาณาบริเวณที่ชื่อเอเดน โดยพระองค์ตรัสห้ามไม่ให้มนุษย์กินผลไม้แห่งปัญญาที่อยู่ในเอเดน แต่มนุษย์ก็ถูกล่อลวงด้วยงูที่พูดได้ให้กินผลไม้แห่งปัญญานั้น เกิดบาปแรก (ความผิดต่อพระเจ้า) คือ บาปจองหอง (ไม่เชื่อฟังคิดยกตัวเองเสมอพระเจ้า)
พระเจ้าจึงจำเป็นต้องขับไล่มนุษย์ออกจากเอเดน ให้มนุษย์ชดใช้ความผิด คือ มีชีวิตด้วยการหาอาหารกินเอง และ มีอายุจำกัด แต่ก็ทรงสัญญากับมนุษย์ว่าวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาช่วยมนุษย์ให้พ้น โดยจะให้มีผู้หนึ่งมากระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในเอเดน คือ ผู้นั้นจะกระทำทุกอย่างด้วยการเชื่อฟังจนต้องโทษถึงตายแทนบาปแรกของมนุษย์
มนุษย์กลุ่มแรกที่ออกมาจากเอเดนก็ตั้งรกราก มีพงศ์พันธ์หลากหลายกระจายไปหลายแผ่นดินในโลก พระเจ้าทรงเลือกชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ชื่อ ชนเผ่าฮีบรู (ยิว) ให้เป็นประชากรของพระองค์ แล้วเริ่มติดต่อกับมนุษย์ผ่านหัวหน้าของชนเผ่ามาหลายชั่วอายุคน โดยพระเจ้าให้ประกาศก (ผู้แทนของพระเจ้า) บันทึกคำพยากรณ์ถึงผู้หนึ่งที่จะมาเป็นผู้ไถ่กู้มนุษย์กลับคืนมาหาพระองค์ในอนาคต โดยพระองค์เลือกสายเลือดของอับราฮัม
เมื่อล่วงเลยมาอีกหลายพันปี ในที่สุดผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาก็ถือกำเนิดขึ้นตามที่ประกาศกพยากรณ์ไว้ โดยมีพระนามว่า 'เยซู' พระเยซูได้ประกาศว่า พระองค์ คือ พระบุตรของพระเจ้า และมาทำหน้าที่ไถ่มนุษย์โดยการตาย (เป็นการตายที่ไม่ได้กระทำผิดใด ๆ และ ยอมตายเพราะเชื่อฟัง เพื่อให้ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในเอเดน)
เมื่อพระเยซูมีอายุได้ 33 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ที่ผู้สำเร็จราชการแทนจักรวรรดิโรมันได้อนุญาตให้ชาวยิวนำพระองค์ไปตรึงกางเขนจนตาย หลังจากพระเยซูตายแล้ว ในสามวันถัดมา พระเจ้าได้คืนชีวิตให้กับพระองค์จากความตาย หลังจากพระเยซูฟื้นจากความตายแล้ว พระองค์ยังคงประทับอยู่ในแผ่นดินโลกอยู่อีกประมาณ 40 วัน และมอบภาระหน้าที่ให้อัครสาวก 11 คน ออกไปประกาศเรื่องราวของพระองค์ให้มนุษย์ชาติได้ยิน
เมื่อก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์ด้วยกายเดิมที่ฟื้นคืนชีพ พระองค์ได้ตรัสว่า จะส่งอีกผู้หนึ่งมาแทนให้มาอยู่ร่วมกับเราจนกว่าจะสิ้นโลก คือ พระจิต เพื่อนำทางผู้ที่เชื่อทุกคน จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง เพื่อพิพากษามนุษย์ตามผลการกระทำของเขา แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าบรรดาพยาน 500 กว่าคน
การบังเกิด การตาย และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู คือ การสร้างเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับเอเดนไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้มนุษย์ได้เลือก คือ การเชื่อฟังพระเจ้าแบบพระเยซูจะทำให้มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตายแล้วฟื้นกลับมาตลอดนิรันดร์ แต่การไม่เชื่อฟังแบบเอวาจะนำมาสู่ความตายนิรันดร์
พระเจ้าจึงจำเป็นต้องขับไล่มนุษย์ออกจากเอเดน ให้มนุษย์ชดใช้ความผิด คือ มีชีวิตด้วยการหาอาหารกินเอง และ มีอายุจำกัด แต่ก็ทรงสัญญากับมนุษย์ว่าวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาช่วยมนุษย์ให้พ้น โดยจะให้มีผู้หนึ่งมากระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในเอเดน คือ ผู้นั้นจะกระทำทุกอย่างด้วยการเชื่อฟังจนต้องโทษถึงตายแทนบาปแรกของมนุษย์
มนุษย์กลุ่มแรกที่ออกมาจากเอเดนก็ตั้งรกราก มีพงศ์พันธ์หลากหลายกระจายไปหลายแผ่นดินในโลก พระเจ้าทรงเลือกชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย ชื่อ ชนเผ่าฮีบรู (ยิว) ให้เป็นประชากรของพระองค์ แล้วเริ่มติดต่อกับมนุษย์ผ่านหัวหน้าของชนเผ่ามาหลายชั่วอายุคน โดยพระเจ้าให้ประกาศก (ผู้แทนของพระเจ้า) บันทึกคำพยากรณ์ถึงผู้หนึ่งที่จะมาเป็นผู้ไถ่กู้มนุษย์กลับคืนมาหาพระองค์ในอนาคต โดยพระองค์เลือกสายเลือดของอับราฮัม
เมื่อล่วงเลยมาอีกหลายพันปี ในที่สุดผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาก็ถือกำเนิดขึ้นตามที่ประกาศกพยากรณ์ไว้ โดยมีพระนามว่า 'เยซู' พระเยซูได้ประกาศว่า พระองค์ คือ พระบุตรของพระเจ้า และมาทำหน้าที่ไถ่มนุษย์โดยการตาย (เป็นการตายที่ไม่ได้กระทำผิดใด ๆ และ ยอมตายเพราะเชื่อฟัง เพื่อให้ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในเอเดน)
เมื่อพระเยซูมีอายุได้ 33 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ที่ผู้สำเร็จราชการแทนจักรวรรดิโรมันได้อนุญาตให้ชาวยิวนำพระองค์ไปตรึงกางเขนจนตาย หลังจากพระเยซูตายแล้ว ในสามวันถัดมา พระเจ้าได้คืนชีวิตให้กับพระองค์จากความตาย หลังจากพระเยซูฟื้นจากความตายแล้ว พระองค์ยังคงประทับอยู่ในแผ่นดินโลกอยู่อีกประมาณ 40 วัน และมอบภาระหน้าที่ให้อัครสาวก 11 คน ออกไปประกาศเรื่องราวของพระองค์ให้มนุษย์ชาติได้ยิน
เมื่อก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์ด้วยกายเดิมที่ฟื้นคืนชีพ พระองค์ได้ตรัสว่า จะส่งอีกผู้หนึ่งมาแทนให้มาอยู่ร่วมกับเราจนกว่าจะสิ้นโลก คือ พระจิต เพื่อนำทางผู้ที่เชื่อทุกคน จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง เพื่อพิพากษามนุษย์ตามผลการกระทำของเขา แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าบรรดาพยาน 500 กว่าคน
การบังเกิด การตาย และ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู คือ การสร้างเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับเอเดนไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้มนุษย์ได้เลือก คือ การเชื่อฟังพระเจ้าแบบพระเยซูจะทำให้มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตายแล้วฟื้นกลับมาตลอดนิรันดร์ แต่การไม่เชื่อฟังแบบเอวาจะนำมาสู่ความตายนิรันดร์
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันในไบเบิล
ไบเบิลบันทึกความสัมพันธ์ของมนุษย์ไว้หลากหลายมิติ ทั้งด้านที่ดีงาม กล้าหาญ สัตย์ซื่อ และด้านที่ชั่วร้ายแสนมืดมน ทรยศหักหลัง ผ่านบทสนทนาระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เมื่ออ่านแล้ว สามารถสร้างอารมณ์ต่าง ๆ ให้กับผู้อ่านได้หลากหลาย ให้เห็นโศกนาฏกรรมของชีวิตที่ลงเอยอย่างแสนอัปยศ เป็นความตายที่น่าสมเพช เห็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชีวิต รางวัลและความภาคภูมิใจของผลการกระทำดี
แต่ทั้งหมดทุกเรื่องราวที่บันทึกไว้ในไบเบิล ล้วนแต่ชี้ไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าในที่สุด คือ มาตรฐานของพระเยซูคริสต์ที่ได้วางรากฐานใหม่ให้แก่มนุษย์ชาติ คือ 'จงรักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดจิตใจ และ จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง' โดยมีแกนหลักของการกระทำ คือ การรัก การให้อภัย มีเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างไร้ขอบเขต แม้กระทั่งศัตรูของตัวเอง และเรียกร้องให้ยอมเสียชีวิตของตนได้เพื่อยืนหยัดในหลักการนี้จนถึงที่สุด เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้มอบรางวัลแก่ผู้ที่เลือกจะเชื่อฟังในหลักการนี้ คือ การกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่และมีชีวิตนิรันดร์
โดยมีเรื่องราวของบุคคลต่าง ๆ เป็นคำอธิบายของผลลัพธ์ของหลักการ เช่น กษัตริย์นีนะเวห์ซึ่งปกครองเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชนที่หลงใหลในการเข้าทรง, การดูหมอพยากรณ์, ไสยศาสตร์, เครื่องลางของขลัง, รูปเคารพบูชาวัตถุมงคล และ มีความโหดร้ายทารุณในการทรมานผู้คน แต่กลับใจจากการประกาศของโยนาห์ และ ทำให้เมืองรอดพ้นจากลงโทษได้
หรือ กษัตริย์มนัสเสห์ ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า คือ สร้างแท่นบูชาให้กับพระและเจ้าแม่ กราบไหว้ดวงดาวบนท้องฟ้าและรับใช้อำนาจของมัน กษัตริย์มนัสเสห์ทำเวทมนต์คาถา ดูหมอ ปรึกษาคนทรงเจ้า หมอผี ที่สุด พระเจ้าก็ลงโทษเมืองที่กษัตริย์ปกครองในที่สุด
แต่ทั้งหมดทุกเรื่องราวที่บันทึกไว้ในไบเบิล ล้วนแต่ชี้ไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าในที่สุด คือ มาตรฐานของพระเยซูคริสต์ที่ได้วางรากฐานใหม่ให้แก่มนุษย์ชาติ คือ 'จงรักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดจิตใจ และ จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง' โดยมีแกนหลักของการกระทำ คือ การรัก การให้อภัย มีเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างไร้ขอบเขต แม้กระทั่งศัตรูของตัวเอง และเรียกร้องให้ยอมเสียชีวิตของตนได้เพื่อยืนหยัดในหลักการนี้จนถึงที่สุด เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้มอบรางวัลแก่ผู้ที่เลือกจะเชื่อฟังในหลักการนี้ คือ การกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่และมีชีวิตนิรันดร์
โดยมีเรื่องราวของบุคคลต่าง ๆ เป็นคำอธิบายของผลลัพธ์ของหลักการ เช่น กษัตริย์นีนะเวห์ซึ่งปกครองเมืองที่เต็มไปด้วยประชาชนที่หลงใหลในการเข้าทรง, การดูหมอพยากรณ์, ไสยศาสตร์, เครื่องลางของขลัง, รูปเคารพบูชาวัตถุมงคล และ มีความโหดร้ายทารุณในการทรมานผู้คน แต่กลับใจจากการประกาศของโยนาห์ และ ทำให้เมืองรอดพ้นจากลงโทษได้
หรือ กษัตริย์มนัสเสห์ ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า คือ สร้างแท่นบูชาให้กับพระและเจ้าแม่ กราบไหว้ดวงดาวบนท้องฟ้าและรับใช้อำนาจของมัน กษัตริย์มนัสเสห์ทำเวทมนต์คาถา ดูหมอ ปรึกษาคนทรงเจ้า หมอผี ที่สุด พระเจ้าก็ลงโทษเมืองที่กษัตริย์ปกครองในที่สุด
บทสรุป
พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ถูกบันทึกโดยมนุษย์ซึ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้ามีจำนวนหลายเล่ม ต่างเวลา ต่างสถานที่ และ ต่างเหตุการณ์ออกไป เป็นบันทึกที่เก็บเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพระเจ้ากับมนุษย์ และหลายตอนได้รับการพิสูจน์ทางโบราณคดีว่า สถานที่,บุคคล,เรื่องราวนั้นมีอยู่จริง และ เวลาที่บันทึกไว้ก็สอดคล้องตามอายุของสิ่งของที่ตรวจอายุทางวิทยาศาสตร์อย่างน่าอัศจรรย์
พระคัมภีร์ไบเบิลมีเนื้อหาหลักว่าด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้าง การไถ่ความผิดบาป โดยแยกออกเป็นพันธสัญญาเดิมเพื่อให้เห็นการตระเตรียมของพระเจ้าเพื่อให้มีการประสูติของพระเยซู และ พันธสัญญาใหม่ที่มีหัวใจ คือ บัญญัติความรักของพระเยซูที่ทรงวางเพิ่มเอาไว้ให้แก่มนุษย์ พร้อมสัญญาว่าจะพระองค์จะกลับมาอีกครั้งเพื่อพิพากษามนุษย์
พระคัมภีร์ไบเบิลมีเนื้อหาหลักว่าด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้าง การไถ่ความผิดบาป โดยแยกออกเป็นพันธสัญญาเดิมเพื่อให้เห็นการตระเตรียมของพระเจ้าเพื่อให้มีการประสูติของพระเยซู และ พันธสัญญาใหม่ที่มีหัวใจ คือ บัญญัติความรักของพระเยซูที่ทรงวางเพิ่มเอาไว้ให้แก่มนุษย์ พร้อมสัญญาว่าจะพระองค์จะกลับมาอีกครั้งเพื่อพิพากษามนุษย์
ดังนั้นคริสตชนทุกคนจึงมีความเชื่อมั่นเต็มล้นว่า พระคัมภีร์ไบเบิลทุกตอนนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้าในการบันทึกถ้อยคำลงไป เพื่อการอบรมสั่งสอน นำทางวิญญาณของมนุษย์ให้พ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด โดยมีเป้าหมายเป็นรางวัลสูงสุดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือ ชีวิตนิรันดร
แชร์ 479 แชร์ 530 แชร์ 470