ชีวิตที่เติบโต
“พระเมตตา” เยียวยาเหยื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
เป็นที่ทราบกันดีว่าในปี 1994 ชนเผ่าตุ๊ทซี่รวันดันถูกกองกำลังเผ่าฮูตูเข่นฆ่าอย่างอำมหิตถึงกว่าหนึ่งล้านคน ในช่วง 100 วัน ถือเป็นกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกก็ว่าได้ ที่ไม่ค่อยรู้กันเท่าไรนักเห็นจะเป็นเรื่อง 28 ปีก่อน แม่พระได้ประจักษ์ต่อหญิงชาวรวันดันสามคนในเมืองเล็ก ๆ ชื่อกีเบโฮ ทรงเร่งเร้าให้มีการสวดภาวนา ถือศีลอดอาหารและกลับใจ ทั้งทรงบอกล่วงหน้าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแอฟริกา กลางปี 1994-1995 ด้วย หญิงสามคนต่างเล่าว่าได้เห็นนิมิต “แม่น้ำแดงฉานไปด้วยเลือด” “ประชาชนต่างเข่นฆ่ากัน” “ซากศพเกลื่อนไปทั่วไม่มีคนฝัง” ฯลฯ
อิมแม็คคูเล่ อีลีบากีซา เหยื่อผู้รอดชีวิตจากการฆ่าหมู่ครั้งนั้น รู้เรื่องการประจักษ์ของพระมารดาแห่งพระวจนาตถ์ที่กีเบโฮ เมื่อ 28 พ.ย. 1981 และเรื่องนิมิตทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี เธอพึ่งแม่พระตลอดเหตุการณ์ฆ่าหมู่และได้ถวายตัวแด่พระเมตตาของพระเป็นเจ้าแล้ว เธอกล่าวว่ารวันดาจะเยียวยาได้ก็ด้วยความเมตตาและการให้อภัยเท่านั้น
คพ.เลซเซค เซคลูสเนียค คณะแม่พระนิรมล ผู้ดูแลนักแสวงบุญประจำศูนย์แม่พระฯ ในรวันดาได้ตั้งพระรูปพระเมตตาสูง 18 ฟุตไว้ที่เชิงเขาตรงจุดที่ชาวเมืองกีเบโฮถูกฆ่าหมู่ 25,000 คน และสารพระเมตตาเปรียบได้กับโอสถที่ช่วยเยียวยาผู้คนที่นั่น อิมแม็คคูเล่พึ่งพระเยซูเจ้าและแม่พระตลอดสามเดือนที่ชนเผ่าฮูตูตามกำจัดเผ่าตุ๊ทซี่ทั่วรวันดา เธอสวดสายประคำอย่างร้อนรนและใช้สายประคำพระเมตตาที่พ่อเธอให้ไว้ก่อนถูกฆ่าตายสวดบทสายประคำพระเมตตา เธอเล่าว่าการสวดสายประคำนี่แหละที่ช่วยชีวิตเธอไว้ได้
ความเชื่อ
วันที่เธอได้ยินนักฆ่าเรียกเธอนั้น เธอซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำขนาด 3x4 ฟุตร่วมกับผู้หญิงอีก 7 คน เธอกลัวจนหมดสติ ต่อมาเธอรู้สึกตัวเบาเหมือนขนนก เธอลอยขึ้นไปและเห็นพระเยซูเจ้าท่ามกลางแสงสีทองเหยียดพระกรมายังเธอ เธอยิ้มออก ความเจ็บปวดอันตรธานไปสิ้น เธอไม่หิว ไม่กระหายและไม่หวาดกลัว เธอสงบและมีความสุขเหลือล้น และพระเยซูเจ้าตรัสแก่เธอ.. “ความเชื่อเคลื่อนภูเขาได้ แต่หากความเชื่อเป็นเรื่องง่าย ป่านนี้ภูเขาทุกลูกก็คงหายไปหมด”
ความวางใจ
พระเยซูเจ้าตรัสต่อ “..จงวางใจในเราและอย่ากลัวอีกเลย จงวางใจในเราและเราจะช่วยลูก เราจะวางกางเขนนี้ไว้หน้าประตู กันพวกเขาไม่ให้เข้ามาถึงตัวลูก จงวางใจในเรา แล้วลูกจะรอดชีวิต” เมื่อเธอฟื้นคืนตสิ เธอกลับมาอยู่ที่พื้นห้องน้ำเหมือนเดิม เธอเห็นกางเขนขนาดยักษ์ส่องแสงเจิดจรัส ทะลุฝาห้องเหมือนแสงอาทิตย์ พลังจากกางเขนขับไล่พวกนักฆ่าออกไปจากบ้านแล้ว เป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือเกินนักฆ่ามาค้นบ้านหาพวกตุ๊ทซี่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยหาพวกเธอพบสักครั้ง
การให้อภัย
พ่อกับน้องชายคนเล็กของเธอถูกยิงตาย แม่และพี่ชายที่เธอกรักที่สุดถูกฟันด้วยพร้าขอจนตาย มีเพียงพี่ชายคนโตเท่านั้นที่รอดเพราะเรียนอยู่นอกประเทศ เธอโกรธแค้นถึงขั้นอยากให้คนที่ฆ่าครอบครัวเธอตายตกไปตามกัน มีเสียงคอยประจญเธอตลอดเวลา “อย่าเรียกหาพระเป็นเจ้าเลย พระองค์รู้ว่าเธอน่ะโกหก เธอโกหกทุกครั้งที่สวดว่าเธอรักพระองค์ พระองค์ไม่ได้สร้างทุกคนตามพระฉายาหรือไง? เธอจะไปรักพระองค์ได้ยังไงถ้าเธอยังเกลียดคนมากมายที่พระองค์สร้างมา?” เธอจึงสวดภาวนาหนักขึ้น .. “พระเจ้าข้า โปรดเปิดใจลูกและสอนลูกให้รู้จักภัยด้วยเถิด พวกเขาประทุษร้ายเราทุกคน ความเกลียดชังของลูกนั้นรุนแรงถึงขั้นทำลายลูกได้ โปรดสัมผัสหัวใจของลูกและเผยให้ลูกรู้จักการอภัยด้วยเถิด..” คืนนั้น เธอได้ยินเสียงทารกร้องไห้นอกบ้าน เธอรู้ว่าพวกนักฆ่าคงต้องฆ่าแม่เด็กและทิ้งเด็กตายข้างถนน เด็กเงียบไปในเย็นต่อมา “ฉันสวดภาวนาขอให้พระรับวิญญาณทารกไร้เดียงสานี้และถามพระองค์ว่า “แล้วลูกจะอภัยให้คนพวกนี้ได้อย่างไร?” เธอได้ยินคำตอบ “ลูกทุกคนเป็นลูกของเรา ทารกอยู่กับเราแล้ว” ประโยคง่าย ๆ แต่เป็นการตอบคำภาวนาตลอดหลายวันมานี้ของเธอ แล้วเธอก็ได้ยินถ้อยคำที่ไม่เคยมีความหมายต่อเธอมาก่อน “โปรดประทานอภัยแก้ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” ดังก้องอยู่ในวิญญาณประหนึ่งเสียงระฆังแห่งความรอด เธอสำนึกได้แล้วว่าการอาฆาตนักฆ่าขัดขวางเธอมิให้วางใจในพระเจ้า
“จิตใจเขาเหล่านั้นเปื้อนหมองไปด้วยบาปที่แพร่เชื้อไปทั่วประเทศ แต่วิญญาณพวกเขามิได้ชั่วช้า” “ถึงพวกเขาจะชั่วร้าย พวกเขาต่างก็เป็นลูกของพระ ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจขอให้พระรักฉันได้ ถ้าฉันไม่เต็มใจรักลูก ๆ ของพระองค์” เธอจึงสวดภาวนาให้พวกนักฆ่า ให้บาปของพวกเขาได้รับการอภัย เธอสวดสายประคำต่อและได้ยินพระเป็นเจ้าตรัสอีกว่า “อภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป”
ความรัก
หลังซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำนาน 91 วัน เธอกับพวกผู้หญิงก็หนีไปค่ายทหารฝรั่งเศสขอความคุ้มครอง และได้พบเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายสิบคน แต่แล้วเมื่อทหารฝรั่งเศสถอนทัพ พวกเขากลับพาพวกเธอไปปล่อยไว้ข้างถนนกลางดงนักฆ่าเผ่าฮูตู นักฆ่าคนหนึ่งจ้องเธอเขม็ง เธอสวดสายประคำ สบตาเขาไม่กระพริบ รวบรวมความปรารถนาทั้งหมดที่มีแผ่ความรักถึงเขา เธอสวดขอให้พระเจ้าใช้เธอสัมผัสนักฆ่าด้วยพลังความรักของพระองค์ ในที่สุดนักฆ่าคนนั้นก็ลดพร้าขอลง หันหลังกลับ เธอและเพื่อนอีกสองคนจำต้องแยกจากกลุ่มไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังตุ๊ทซี่ที่ตั้งอยู่ใกล้จุดนั้น นักฆ่าติดอาวุธ 15 คนยืนอยู่ห่างจากเธอไม่กี่หลา เธอบอกให้ทุกคนตั้งใจภาวนาเมื่อเธอแยกไป เธอภาวนาอย่างร้อนรน.. “ข้าแต่พระเป็นเจ้าลูกกำลังเดินฝ่าหุบเหวความตาย โปรดอยู่กับลูก โปรดกำบังลูกด้วยพลังความรักของพระองค์” มีนักฆ่าเดินตามมา 3 คน เธอกำสายประคำไว้แน่น “โปรดคุ้มครองลูกเถิด โปรดนำความชั่วร้ายออกไปจากจิตใจพวกเขา โปรดกำบังความเกลียดชังของพวกเขาด้วยเดชะความรักศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์..” เธอแสร้งพูดดัง ๆ ว่า เธอกำลังไปหากองกำลัง RPF เผ่าตุ๊ทซี่ เมื่อเธอหันกลับไปดูอีกที นักฆ่ากลับไปหมดแล้ว
อิมแม๊คคูเล่เริ่มชีวิตใหม่ เมื่อความรุนแรงให้รวันดายุติลง เธอทำงานที่สหประชาชาติในสหรัฐฯ เขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ และก่อตั้งกองทุน Left to Tell เพื่อช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นี่เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความเกลียดชัง การเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อน ความรัก และการให้อภัย ระหว่างการฆ่าหมู่ในรวันดา อิมแม๊คคูเล่รอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า และไม่เพียงแต่เธอได้รับการไว้ชีวิตเพื่อมาเล่าให้เราฟังเท่านั้น เธอยังให้อภัยผู้ที่ฆ่าคนในครอบครัวและเครือญาติของเธอ ด้วยเดชะพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าด้วย
ที่มา-จุลสารพระเมตตา V.4
ขอบคุณ Holy แห่ง newmana.com ที่นำมาพิมพ์และเผยแพร่