ความ เชื่อสามารถสวดขอได้นะคะ เราไม่เชื่ออะไร เราก็สวดขอได้ เราถามพระได้ บอกได้ว่า เราสงสัย อันนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ดี โธมัสก็ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ แต่สุดท้าย พระองค์ก็มาเผยแสดงให้เค้ารู้ เปโตรและศิษย์คนอื่นๆเค้าก็ไม่ได้เชื่อพระมารีย์มักดาลาไปบอก แต่เชื่อเพราะเค้าเห็นเอง มีประสบการณ์เอง พระบอกเค้าเอง และพระองค์ก็บอกเองว่า เป็นบุญของผู้ที่ไม่เห็นแล้วเชื่อ (แล้วใครจะมีบุญแบบนั้นได้ทุกคน) ซึ่งเราต้องสวดขอ... ขอให้เราสวดขอ
ไม่ เห็นด้วยที่ว่า ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วเชื่อเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พระบอกว่า ความเชื่อเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ขอแค่เชื่อเรื่องเดียวก็ตาม ก็ทำให้เราเติบโตได้ บางคนที่เค้ายังโตไม่ทัน เราก็น่าจะช่วยเค้า (คิดว่า คงกำลังช่วยอยู่ จากความพยายามทำบทความ) และให้เวลาเค้า บางทีอาจไม่ใช่เวลาเค้าก็ได้นะคะ และเมื่อเวลาเค้ามาถึง เค้าอาจเชื่อมากกว่าเราก็ได้ .... ขอแค่ให้พยายาม ให้ค้นหา ให้ถามพระว่า มันจริงอย่างงั้นเหรอ มันเป็นความสัมพันธ์นะคะ ถ้าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนรักเรา เราจะสร้างความสัมพันธ์ยังไงคะ เราจะคุยอะไรกับเค้า รู้หมดแล้วอ่ะ ไม่มีเรื่องคุยแล้ว
===================================
อัน นี้ต้องถามนักบุญเปาโลครับ ว่าทำไมท่านทำไม่ถูกไปตำหนิคริสตชนสมัยนั้นบางคนที่ยังไม่ยอมเชื่อการกลับ คืนชีพแบบนั้น และตำหนิถึง3ครั้งในบทเดียวกันแบบนั้น ตัวนักบุญโทมัธเองโดนตำหนิโดยตรงจากพระเยซูเลยด้วยซ้ำว่า
ยน 20:29
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
“ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา
ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”
---แสดง ว่าพระองค์ไม่ปลื้มที่เป็นแบบนั้น และพระองค์พอพระทัยคนที่ไม่ต้องเห้นอัศจรรย์แล้วค่อยมาเชื่อ ถ้าคิดแบบคุณ แสดงว่า พระเจ้าต้องไปไล่ทำอัศจรรย์กับมนุษย์ทั้งโลกทีละคนงั้นหรือ แต่พระเยซูตรัสประโยคนี้ไว้ในพระคัมภีร์ เพราะพระองค์ต้องการคนที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นอัศจรรย์ และเชื่อโดยไม่ต้องใช้ความฉลาดหรือเหตุผลทางโลกมาตัดสินพระองค์ คนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ เพราะตั้งเป้าไว้ว่าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์ เพราะถ้าเพียงเขาเชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้า ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้
2คร 5:16
เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป
---ดัง นั้นถ้าคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้า เป็นแค่มนุษย์ แล้วคุณเชื่อว่าพระเยซูไม่กลับคืนชีพ เหมือนที่อิสลามคิดแบบนั้น หรือกระทรวงศึกษาที่ตัดเรื่องนี้ออกไปจากหนังสือเรียนวิชาศาสนา ที่จบแค่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะพวกเขาไม่อาจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ก็โทษเขาไม่ได้ ถูกแล้วถ้าคุณจะหมายถึงพวกเขา
แต่ ในบทอ่านนี้ นักบุญเปาโลไม่ได้พูดถึงคนต่างศาสนา แต่ท่านกำลังพูดกับ คริสตชนที่อ้างว่าเชื่อ พระเยซูเป็นพระเจ้า เชื่อเรื่องพระเยซูคือพระบุตร แต่ดันไม่ยอมรับเรื่องการกลับคืนชีพ และนั่น ทำให้ท่านกระตุกเตือนว่า ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ ก็จงยอมรับความจริงว่าคุณไม่ได้มีความเชื่อในคริสตศาสนาอย่างแท้จริงเลย และด้วยการที่คุณไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ ทำให้คุณไม่ได้รับความรอด โดยอัตโนมัติ ท่านพูดเพื่อเตือนว่าให้กลับใจ ไม่ใช่เพื่อต้องการว่าใคร ถ้าคุณส้มคิดว่าผม หรือนักบุญเปาโล ต้องการว่าใคร ก็บอกได้เพียงว่า คุณส้มตัดสินพฤติกรรมคนไปผิดถนัด และมองไม่เห้นคุณค่าของสารที่แท้จริงที่ท่านพยายามสื่อมาตั้งแต่สมัยนั้น นี่เป็นเพียงการพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าความเชื่อเรื่องนี้เหมารวมทุกความเชื่อไว้ด้วย โดยเฉพาะใน2มิติสำคัญคือ การเป็นพระเจ้า และความรอดพ้น ซึ่งถ้าปฏิเสธความเชื่อนี้ คือการ ปฏิเสธความรอดพ้น และเป็นการปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระเยซู ซึ่งไม่ต้องให้ใครมาตำหนิหรือว่า เพราะการไม่เชื่อนั้น เป็นการตัดสินลงโทษในตัวเองอยู่แล้ว คนที่เอามาบอกก็เพียงเตือนว่า เฮ้ย...ถ้าคุณจะเรียนมาทั้งปีอ้างว่ามีความรู้แต่ไม่ยอมไปสอบมันไม่ได้นะคุณ จะตก การที่คนมาพูดว่าคุณจะตกและที่เรียนมาทั้งหมดก็แทบสูญเปล่า ไม่ใช่การตำหนิ แต่คือความจริงที่ต้องเตือน และคนที่ต้องการเตือนเรื่องนี้ไม่ใช่ตัวผมหรือนักบุญเปาโล แต่เป็นพระเยซูคริสตเจ้าเอง
2คร 5:18
ทุก สิ่งมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เดชะพระคริสตเจ้า และทรงมอบภารกิจการคืนดีนี้ให้กับเรา กล่าวคือ พระเจ้าทรงทำให้โลกคืนดีกับพระองค์ในองค์พระคริสตเจ้า พระองค์มิได้ทรงเอาผิดกับมนุษย์ แต่ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้ ดังนั้น เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
จอห์น แอล สต๊อดดาร์ด เคยได้รับจดหมายจากเพื่อนคาทอลิกคนหนึ่ง และในจดหมายนั้นมีการพูดถึงข้อความเชื่อเอาว่า
" ข้อความเชื่อคาทอลิกแต่ละอย่างเชื่อมถึงกันและกัน คุณไม่สามารถที่จะเลือกเชื่ออย่างหนึ่ง และไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่งตามใจปรารถนาได้ เหมือนศิลาหัวมุมที่แยกจากส่วนอื่น ๆ ไม่ออก"