ประวัติผู้พัฒนาเว็บไซต์
หนึ่งชีวิตของเราแต่ละคน ล้วนแต่มีเรื่องราวของตัวเอง และถ้าเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นมันไม่เกิดขึ้นกับเรา เราก็อาจไม่เป็นเราดังที่เราเป็นในทุกวันนี้ เช่นเดียวกันกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม
ผมเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา เป็นแค่ละอองธุลีฝุ่นในห้วงจักรวาล ที่มาล่องลอยอยู่แค่ช่วงเวลาหนึ่งในไทม์ไลน์ของมนุษย์ ในวันหนึ่งผมจะถูกกาลเวลาลบผมออกไปจากผืนทรายแห่งกาลเวลาที่อนันตกาล ไม่มีใครที่จะจดจำผม และ ไม่มีใครที่จะเอ่ยถึงผม ผมจะถูกลืมเมื่อชีวิตผมจบสิ้นลง และการให้ใครจดจำผมไว้นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการมีชีวิตอยู่ของผมเลย
ผมเป็นแค่ปุถุชนธรรมดา เป็นแค่ละอองธุลีฝุ่นในห้วงจักรวาล ที่มาล่องลอยอยู่แค่ช่วงเวลาหนึ่งในไทม์ไลน์ของมนุษย์ ในวันหนึ่งผมจะถูกกาลเวลาลบผมออกไปจากผืนทรายแห่งกาลเวลาที่อนันตกาล ไม่มีใครที่จะจดจำผม และ ไม่มีใครที่จะเอ่ยถึงผม ผมจะถูกลืมเมื่อชีวิตผมจบสิ้นลง และการให้ใครจดจำผมไว้นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการมีชีวิตอยู่ของผมเลย
แต่หลายเรื่องราวก็มีคุณค่าที่จะเล่าสู่กันฟัง
แม้ตัวเนื้อเรื่องและตัวละครอาจต้องดูหม่นหมองและเจ็บปวดในหลายก้าวเดินของชีวิต แต่ก็นั่นหละชีวิต มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น และ ผมอยากจะแบ่งปันเรื่องราวธรรมดา ๆ เหล่านั้นของผมในบางก้าวเดินให้คุณได้ฟังผ่านตัวอักษร และคุณจะไม่ได้เห็นผมร่ายประวัติการศึกษา การทำงาน ผลงาน เกียรติประวัติงานสอนต่าง ๆ เพราะมันไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับผมอีกแล้วในเวลานี้ผมเกิดมาพร้อมกับความโศกเศร้า
คุณเคยจำย้อนเข้าไปในความทรงจำที่เด็กที่สุดของคุณได้มากเท่าไหร่ ? ความทรงจำของผม ไม่ใช่สิ สัมผัสที่เหมือนผมจะยังคงจำได้ทุกอณู แม้จะผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว
ผมตื่นและลืมตาอยู่บนที่นอนเก่า ๆ มีมุ้งสีเหลืองอ่อน มองออกไปทางขวามีช่องหน้าต่างไม้ ที่เลื่อนเปิดปิดได้ ผมไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนั้นผมอายุเท่าไหร่ แต่ผมจำได้ว่า เท้าและมือของผมเหมือนเด็ก และน่าจะอายุราว ๆ 4-5 ขวบเท่านั้น
ผมรู้สีกโศกเศร้าและจำประโยคในใจของผมตอนนั้นได้ว่า "เราเกิดมาอีกแล้วหรือ" ผมรู้สึกหม่นหมอง และรู้สึกถึงความเหนื่อยขึ้นมา .. แล้วผมก็เติบโตขึ้นมาท่ามกลาง "ซ่อง" ที่ค้าประเวณีแหล่งใหญ่ที่สุดกลางอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ผมตื่นและลืมตาอยู่บนที่นอนเก่า ๆ มีมุ้งสีเหลืองอ่อน มองออกไปทางขวามีช่องหน้าต่างไม้ ที่เลื่อนเปิดปิดได้ ผมไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนั้นผมอายุเท่าไหร่ แต่ผมจำได้ว่า เท้าและมือของผมเหมือนเด็ก และน่าจะอายุราว ๆ 4-5 ขวบเท่านั้น
ผมรู้สีกโศกเศร้าและจำประโยคในใจของผมตอนนั้นได้ว่า "เราเกิดมาอีกแล้วหรือ" ผมรู้สึกหม่นหมอง และรู้สึกถึงความเหนื่อยขึ้นมา .. แล้วผมก็เติบโตขึ้นมาท่ามกลาง "ซ่อง" ที่ค้าประเวณีแหล่งใหญ่ที่สุดกลางอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ผมเป็นคนโศกเศร้าและเก็บตัว
ความเศร้าที่เหมือนเป็นผู้ให้กำเนิดผม ยังคงนั่งอยู่และทักทายผมในทุกวันจนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนที่ผมกำลังโตขึ้น ผมก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ที่มีเพื่อนเล่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน เมื่อมีกิจกรรมอะไรต้องทำ ผมก็ทำ
แต่ผมก็ยังคงรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว ถ้ามีโอกาส ผมก็จะหลบเพื่อนไปอยู่คนเดียว ถ้าในโรงเรียนก็หลบไปอยู่ห้องสมุด ถ้าอยู่บ้าน ผมก็จะไปร้านหนังสือสุริวงศ์บุคเซนเตอร์ เพราะเดินไปได้ไม่ไกล
ที่จริง ผมอยากจะหนีไปจากโลกใบนี้ตั้งแต่ยังเด็กซะงั้น แต่แค่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า การฆ่าตัวตาย คือ วิธีที่มนุษย์ผู้ใหญ่เขาเลือกกัน
แต่ผมก็ยังคงรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว ถ้ามีโอกาส ผมก็จะหลบเพื่อนไปอยู่คนเดียว ถ้าในโรงเรียนก็หลบไปอยู่ห้องสมุด ถ้าอยู่บ้าน ผมก็จะไปร้านหนังสือสุริวงศ์บุคเซนเตอร์ เพราะเดินไปได้ไม่ไกล
ที่จริง ผมอยากจะหนีไปจากโลกใบนี้ตั้งแต่ยังเด็กซะงั้น แต่แค่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า การฆ่าตัวตาย คือ วิธีที่มนุษย์ผู้ใหญ่เขาเลือกกัน
หนังสือการ์ตูนความรู้รอบตัว 10 เล่มแบบกล่อง ราคาตอนนั้นก็ 1,299 บาท คนที่ซื้อให้ผม คือ ป้าข้างบ้านซึ่งเขาสนับสนุนการศึกษาของลูกเสมอ ในขณะที่ผมไม่กล้าขอแม่ซื้อ เป็นความทรงจำที่ดีของผมอันหนึ่ง แต่ครอบครัวผมไม่เคยเห็นคุณค่าของหนังสือหรือความทรงจำใด ๆ ที่เกี่ยวกับผม และมันก็หายไปในวันหนึ่ง (ภาพประกอบจากอมยิ้มพันทิปชื่อ anrumarin)
ผมรู้สึกจากบ้านมาแสนไกล
ก่อนที่ผมจะอายุ 9 ขวบ ผมเขียนไดอารี่เป็นแล้ว ผมใช้สมุดเล่มละ 2 บาทนั่นหละเขียนทุกสิ่งที่อยู่ในใจของผม ถ้าผมไม่สามารถเขียนได้ ผมจะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับว่า บ้านของผมอยู่บนนั้น มีใครบนนั้น มีสักคน หรือ หลายคนกำลังเฝ้ารอที่จะคุยกับผมอยู่ ในตอนกลางคืนปิดเทอมฤดูร้อน ผมชอบดูดาวเคลื่อนไปอย่างอ้อยอิ่ง มันรู้สึกถึงความเคว้งคว้าง ที่เงียบสงบและสวยงาม แล้วผมก็จะเผลอพูดความในใจของผมออกมากับดวงดาวผ่านสายตาที่ผมจ้องมองมัน
ผมพบองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในเช้าวันหนึ่งโรงเรียนตั้งขบวนพานักเรียนเดินไปวัดคาทอลิกที่ติดกัน ตอนนั้นผมอยู่ประถมห้า ผมได้นั่งในวัดขนาดใหญ่ ตรงกลางมีโลงศพคลุมด้วยผ้าสีทอง ผมได้รับชีทกระดาษโรเนียวสีน้ำตาล มีบทเพลงให้ผมร้อง ในจังหวะที่เสียงเปียโนได้เริ่มไปได้สักครู่นั้นเอง ทั้งวัดก็ลุกโพลนขึ้นด้วยแสงสว่างสีขาววาบ สวยงามและมีกลิ่นหอมอย่างน่าประหลาดใจแก่ผม ทั่วทั้งวัดเงียบสงบ เหมือนมีแค่ผมกับคน ๆ หนึ่งเท่านั้น
แล้วผมก็กลับมาอยู่ในโลกเดิมอีกครั้ง แต่ผมรู้สึกตื่นตัวและมีพลัง สัมผัสได้ถึงสายน้ำบางอย่างในตัวของผมไหลเวียนอย่างเย็นฉ่ำ แล้วผมก็ระลึกรู้ได้โดยทันทีว่า นั่นคือ รูปกางเขนขององค์พระผู้เป็นเจ้าของผม และ ข้อความที่ติดอยู่ด้านล่างนั้น คือ ถ้อยคำที่พระองค์ต้องการบอกกับผม "เรา คือ องค์แห่งความรัก"
แล้วผมก็กลับมาอยู่ในโลกเดิมอีกครั้ง แต่ผมรู้สึกตื่นตัวและมีพลัง สัมผัสได้ถึงสายน้ำบางอย่างในตัวของผมไหลเวียนอย่างเย็นฉ่ำ แล้วผมก็ระลึกรู้ได้โดยทันทีว่า นั่นคือ รูปกางเขนขององค์พระผู้เป็นเจ้าของผม และ ข้อความที่ติดอยู่ด้านล่างนั้น คือ ถ้อยคำที่พระองค์ต้องการบอกกับผม "เรา คือ องค์แห่งความรัก"
ผมหลงทาง
ผมใช้ชีวิตตามกระแสโลก โดยที่ไม่รู้ตัวว่า พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งผมเลย แต่ผมก็ใช้ชีวิต ต่อสู้กับความปรารถนาของหัวใจจนพังพินาศยับเยิน ผมเสพทั้งยา ติดบุหรี่ เหล้าและเซ็กส์ ผมใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อตอบสนองความปราถนาลึก ๆ คือ หนีความโศกเศร้าในหัวใจของผม และผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ในคืนวันปีใหม่ราว ๆ ปี 2000 ผมยืนโง่ ๆ อยู่กลางถนนสีลมคนเดียว เดินเคว้งคว้างไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้จะไปหาเซ็กส์ หรือ จะไปหายา หรือ จะไปหาเหล้าเข้าปากดี แต่แล้วผมก็รู้สึกเหงาอย่างประหลาด เหมือนโลกนี้ไม่ใช่ที่ที่ผมควรจะอยู่ ผมเดินอย่างอ้อยอิ่งคนเดียวไปตามถนนนราธิวาสจนถึงถนนพระรามสาม แค่เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หนึ่งในนั้น คือ ผมจะตายอย่างไรดี
เมื่อผมพาชีวิตที่พังยับเยิน กลับมาให้แม่ซ้ำเติมที่เชียงใหม่ ผมไม่ได้สนใจอะไรแม่หรอก เพราะแม่ก็ไม่เคยสนใจอะไรผมอยู่แล้ว ผมกลับมาอยู่กับแม่ได้แค่ 5 ปีเท่านั้น แม่ก็ตาย ในคืนที่แม่ตายจากไป ลึกๆ ในใจผมก็แปลกแยกและมีมุมหนึ่งตะโกนบอกผมว่า "ดีแล้ว ตายไปแล้วจะได้จบ ๆ กันเสียที" แต่ประโยคที่แม่บอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "มึงจำเอาไว้นะ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว ชีวิตมึงจะไม่เหมือนเดิม" มันวนเวียนอยู่ในหัวผม แม้กระทั่งวันที่ผมนั่งเหม่อดูไฟลุกโหมร่างของแม่ที่เชิงตะกอน เสียงของแม่ก็ยังก้องอยู่ในใจของผม
ราวกับผมต้องคำสาป หลังการตายของแม่แค่ 1 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น โรคจิตเวชผมกำเริบรุนแรงอย่างฉับพลัน ผมป่วยเป็นโรค OCD ชนิดรุนแรง ห้วงเวลานั้น ความคิดผมจะชวนย้ำ ๆ ให้ผมเอามีดไปเสียบพุงชาวบ้านเล่น และผมก็เป็นคนที่ห้ามใจตัวเองยากเสียด้วย ผมจึงลงเอยด้วยการทานยาคอมิปามีนและกลายเป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว ผมนอนวันละเกือบ 17-18 ชั่วโมง กินแค่วันละ 1 ครั้ง ยาวนาน เกือบ ๆ 2 ปี
ในปัจจุบันผมยังคงป่วยด้วยโรค OCD อย่างรุนแรง แต่เหมือนโลกยังสนุกกับผมไม่พอ เมื่อผมเริ่มดีขึ้นหลังกินยามาได้เกือบ 2 ปี ผมก็ตรวจพบเนื้องอกในโพรงกระดูกสันหลัง ต้องผ่าตัดเอามันออก แต่ก็แลกมาด้วยการเป็นผู้พิการไปซีกซ้าย ผมตัดสินใจไม่ผ่าตัด และมันยังอยู่ในร่างกายของผมจนถึงขณะนี้
เมื่อผมเลิกทานยาคอมิปามีนและหันมาสู้กับมันด้วยตัวเอง ชีวิตในแต่ละวันก็เจ็บปวดมาก แต่ก็ทำให้ผมหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ และ ผมได้รับศีลล้างบาปเสียทีในปี 2009 โดยพ่อเจ้าวัดในขณะนั้น คือ พ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม
การรับศีลล้างบาปแล้วก็ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นหรอก เมื่อผมมีเงิน ผมก็ยังคงสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และมีเซ็กส์ เพื่อหวังว่าความเศร้าโศกในชีวิต ซึ่งถูกกระหน่ำด้วยโรค OCD มันจะได้หายไปจากชีวิตของผมเสียที
ชีวิตของผมกลับมาพังอีกครั้งเมื่อเงินผมหมด บริษัทผมเจ๊ง เพื่อนหาย และ โรค OCD ก็เป็นมากขึ้น
ในคืนวันปีใหม่ราว ๆ ปี 2000 ผมยืนโง่ ๆ อยู่กลางถนนสีลมคนเดียว เดินเคว้งคว้างไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้จะไปหาเซ็กส์ หรือ จะไปหายา หรือ จะไปหาเหล้าเข้าปากดี แต่แล้วผมก็รู้สึกเหงาอย่างประหลาด เหมือนโลกนี้ไม่ใช่ที่ที่ผมควรจะอยู่ ผมเดินอย่างอ้อยอิ่งคนเดียวไปตามถนนนราธิวาสจนถึงถนนพระรามสาม แค่เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หนึ่งในนั้น คือ ผมจะตายอย่างไรดี
เมื่อผมพาชีวิตที่พังยับเยิน กลับมาให้แม่ซ้ำเติมที่เชียงใหม่ ผมไม่ได้สนใจอะไรแม่หรอก เพราะแม่ก็ไม่เคยสนใจอะไรผมอยู่แล้ว ผมกลับมาอยู่กับแม่ได้แค่ 5 ปีเท่านั้น แม่ก็ตาย ในคืนที่แม่ตายจากไป ลึกๆ ในใจผมก็แปลกแยกและมีมุมหนึ่งตะโกนบอกผมว่า "ดีแล้ว ตายไปแล้วจะได้จบ ๆ กันเสียที" แต่ประโยคที่แม่บอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "มึงจำเอาไว้นะ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว ชีวิตมึงจะไม่เหมือนเดิม" มันวนเวียนอยู่ในหัวผม แม้กระทั่งวันที่ผมนั่งเหม่อดูไฟลุกโหมร่างของแม่ที่เชิงตะกอน เสียงของแม่ก็ยังก้องอยู่ในใจของผม
ราวกับผมต้องคำสาป หลังการตายของแม่แค่ 1 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น โรคจิตเวชผมกำเริบรุนแรงอย่างฉับพลัน ผมป่วยเป็นโรค OCD ชนิดรุนแรง ห้วงเวลานั้น ความคิดผมจะชวนย้ำ ๆ ให้ผมเอามีดไปเสียบพุงชาวบ้านเล่น และผมก็เป็นคนที่ห้ามใจตัวเองยากเสียด้วย ผมจึงลงเอยด้วยการทานยาคอมิปามีนและกลายเป็นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว ผมนอนวันละเกือบ 17-18 ชั่วโมง กินแค่วันละ 1 ครั้ง ยาวนาน เกือบ ๆ 2 ปี
โรค OCD ชื่อเต็ม Obsessive Complusive Disorder : โรคย้ำคิดย้ำทำ ผมเป็นทั้ง 2 อย่าง เป็นโรคที่ติด 1 ใน 10 ของโลก ที่ทำลายชีวิตของผู้ป่วยและส่วนหนึ่งจบลงที่การฆ่าตัวตาย เพราะไม่สามารถเปลี่ยนเงื่อนไขของสภาพชีวิตได้ ผู้ป่วยจะมีเงื่อนไขที่เป็นความเจ็บปวดของชีวิตและมีการกระทำที่ย้ำเข้ามาด้วย ยาคอมิปามีนเป็นยาเก่ามีผลรุนแรง และสำหรับผมยาคอมิปามัน 0.25 mg มันสามารถหยุดคิดในสมองผมได้ดีทีเดียว แต่ชีวิตก็เหมือนผัก
ในปัจจุบันผมยังคงป่วยด้วยโรค OCD อย่างรุนแรง แต่เหมือนโลกยังสนุกกับผมไม่พอ เมื่อผมเริ่มดีขึ้นหลังกินยามาได้เกือบ 2 ปี ผมก็ตรวจพบเนื้องอกในโพรงกระดูกสันหลัง ต้องผ่าตัดเอามันออก แต่ก็แลกมาด้วยการเป็นผู้พิการไปซีกซ้าย ผมตัดสินใจไม่ผ่าตัด และมันยังอยู่ในร่างกายของผมจนถึงขณะนี้
เมื่อผมเลิกทานยาคอมิปามีนและหันมาสู้กับมันด้วยตัวเอง ชีวิตในแต่ละวันก็เจ็บปวดมาก แต่ก็ทำให้ผมหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ และ ผมได้รับศีลล้างบาปเสียทีในปี 2009 โดยพ่อเจ้าวัดในขณะนั้น คือ พ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม
การรับศีลล้างบาปแล้วก็ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นหรอก เมื่อผมมีเงิน ผมก็ยังคงสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และมีเซ็กส์ เพื่อหวังว่าความเศร้าโศกในชีวิต ซึ่งถูกกระหน่ำด้วยโรค OCD มันจะได้หายไปจากชีวิตของผมเสียที
ชีวิตของผมกลับมาพังอีกครั้งเมื่อเงินผมหมด บริษัทผมเจ๊ง เพื่อนหาย และ โรค OCD ก็เป็นมากขึ้น
ผมพบองค์พระผู้เป็นเจ้าครั้งที่สอง
เย็นวันอาทิตย์หลังเสร็จมิสซาพี่คนหนึ่งที่ผมคุ้นตา แต่ไม่เคยคุยกัน เดินเข้ามาหาผมและยื่นใบปลิวให้ บนนั้นมีข้อความเรียบง่ายว่า "เชิญรับพระพรการรักษาโรคโดยพระคุณเจ้าประธาน ศรีดารุณศีล" ผมเงยหน้ามาอีกที พี่เขาก็ขึ้นรถกะบะสีขาวอ่านข้อความข้างรถได้ว่า คณะวินเซนต์เดอปอล
ผมลังเล แต่ที่สุดผมก็พาตัวเองมายืนอยู่ต่อหน้าพระคุณเจ้าประธาน เงยหน้าไปเห็นแต่ฝ่ามือของพระคุณเจ้าที่ยื่นมาปรกเหนือหัวผม ในขณะที่ผมชำเลืองมองร่างของป้าข้าง ๆ ที่เมื่อกี้แกโงนเงน จนล้มลงไปนอนแช่อยู่กับพื้นของวัดนักบุญกรรมกรยอแซฟเรียบร้อย
อิหยังวะ ? เป็นไปได้ด้วยเหรอ อุปทานหมู่แน่ ๆ แล้วเสียงภาวนาของพระคุณเจ้าก็เริ่มดังขึ้น แต่เหมือนแทงเข้าไปในหัวของผม แล้วก็ทำเอาผมสะดุ้งลืมตาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เพราะใครเอาน้ำร้อนมาสาดหัวผม แต่ว่างเปล่า มีแค่เสียงพระคุณเจ้ากับฝ่ามือใหญ่ ๆ เบอร์นั้นที่อีกนิดเดียว คือ ประคบหน้าผมแล้ว ผมแปลกใจแต่เก็บอาการแล้วหลับตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำร้อน ๆ นั้นกลับเข้ามา แต่ตอนนี้อยู่ในหัวของผม ไหลลงผ่านใบหน้า ไปหลังคอ ลงไปที่หลังอย่างรวดเร็ว แล้วก็ร้อนวนวูบวาบอยู่ที่เอว ซึ่งเป็นจุดที่เนื้องอกผมอาศัยอยู่
ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยได้พบพระองค์แล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้จิตวิญญาณผมได้เจอพระองค์อีกครั้ง พระจิตเจ้า ผมวางใจและตัดสินใจปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ น้ำร้อนนั้นก็ไหลลงไปที่ขาและวนกลับขึ้นมาที่หลังแต่รุนแรงเหมือนน้ำที่ปั่นในถังซักผ้า แล้วก็ไหลย้อนขึ้นไปที่หัวของผม แต่ครั้งนี้กระชาก ผมสัมผัสได้ถึงแรงกระชากที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผม จนผมเซ
ยังไม่ทันจะตั้งหลักคิดว่า "จบแล้วใช่ไหม ?" พระจิตเจ้าก็สาดกลับพระองค์เข้ามาที่หัวผมอีกครั้ง แรงกว่าเดิม รอบที่สอง รอบที่สาม รอบที่สี่ จนไม่รู้ว่ากี่รอบกันแล้ว และผมก็รู้ตัวแล้วว่า พอเถอะ ผมไม่ไหวที่จะประครองร่างกายในท่ายืนพนมมือแล้วหละ กล้ามเนื้อตัวผมกระปรกกระเปรี้ยไปหมด ทั้งมึนหัว เวียนหัว ตัวสั่น ยังไม่ทันจะจำอะไรได้ต่อ .. ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ไหวแล้ว หัวจะฟาดพื้นก็ช่างมันเถอะ ผมปล่อยตัวเองล้มลงไปเลย
ผมรู้ตัวอีกที แต่ตาหนักมาก สติผมบอกตัวเองว่า ผมนอนลงแช่พื้นเหมือนป้าข้าง ๆ แล้วหละ ผมพยายามจะลุกขึ้นแบบไม่ลืมตา เพราะอายคนอื่นที่มานอนอยู่ตรงนี้ แต่ความรู้สึก คือ มือมันอยู่ในท่าพนมเหมือนเดิมอยู่แล้วประกบแน่นอีกต่างหาก พยายามจะบังคับกล้ามเนื้อตัวเอง แต่มันไม่เป็นไปดั่งใจ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของผมอีกแล้ว ผมก็พยายามงัดสู้กับตัวเอง แต่แล้วก็สั่น อยู่ ๆ ผมก็สั่นไปทั้งตัวโดยเฉพาะส่วนหลังหดเกร็งไปมา สั่นทั้งที่นอนอยู่นั่นแหละ ไม่ได้หนาว แต่ร่างกายนี้มันสั่นเอง ผมจำช่วงเวลานี้ได้ เพราะผมอายเขา ทำไมต้องสั่น ยิ่งคิดห้ามก็ยิ่งสั่น สั่นจนผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขามองว่า ผมชักหรือเปล่า
ในใจผมก็คิดว่าทำอย่างไรดี ก็เลยคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามพระทัยพระองค์เถอะ ผมก็นอนรับรู้การสั่นของร่างกายนี้ไป อยากสั่นเท่าไหร่ เชิญ ผมจะนอนอยู่แบบนี้แหละ
ผมนอนสั่นอยู่นานไม่รู้กี่นาที จนอาการสั่นลดลง จนหยุดสั่น แล้วก็กลับมาสามารถบังคับกล้ามเนื้อตัวเองได้ และถึงจะลุกขึ้นมาเองได้แต่ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากเลย ผมพาตัวเองเดินเหมือนคนหมดแรงกลับมาที่นั่ง ผมเห็นประตูวัดปิด ผู้เข้าร่วมคนอื่นซึ่งส่วนใหญ่สูงอายุ ยังคงนั่งสวดสายประคำไม่หยุดเลย และไม่มีใครถามผมเลยว่าเป็นอย่างไร เหมือนกับทุกคนได้เคยเห็นเรื่องแบบนี้จนชินตา
ผมลังเล แต่ที่สุดผมก็พาตัวเองมายืนอยู่ต่อหน้าพระคุณเจ้าประธาน เงยหน้าไปเห็นแต่ฝ่ามือของพระคุณเจ้าที่ยื่นมาปรกเหนือหัวผม ในขณะที่ผมชำเลืองมองร่างของป้าข้าง ๆ ที่เมื่อกี้แกโงนเงน จนล้มลงไปนอนแช่อยู่กับพื้นของวัดนักบุญกรรมกรยอแซฟเรียบร้อย
อิหยังวะ ? เป็นไปได้ด้วยเหรอ อุปทานหมู่แน่ ๆ แล้วเสียงภาวนาของพระคุณเจ้าก็เริ่มดังขึ้น แต่เหมือนแทงเข้าไปในหัวของผม แล้วก็ทำเอาผมสะดุ้งลืมตาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เพราะใครเอาน้ำร้อนมาสาดหัวผม แต่ว่างเปล่า มีแค่เสียงพระคุณเจ้ากับฝ่ามือใหญ่ ๆ เบอร์นั้นที่อีกนิดเดียว คือ ประคบหน้าผมแล้ว ผมแปลกใจแต่เก็บอาการแล้วหลับตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำร้อน ๆ นั้นกลับเข้ามา แต่ตอนนี้อยู่ในหัวของผม ไหลลงผ่านใบหน้า ไปหลังคอ ลงไปที่หลังอย่างรวดเร็ว แล้วก็ร้อนวนวูบวาบอยู่ที่เอว ซึ่งเป็นจุดที่เนื้องอกผมอาศัยอยู่
ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยได้พบพระองค์แล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้จิตวิญญาณผมได้เจอพระองค์อีกครั้ง พระจิตเจ้า ผมวางใจและตัดสินใจปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามที่พระองค์ต้องการ น้ำร้อนนั้นก็ไหลลงไปที่ขาและวนกลับขึ้นมาที่หลังแต่รุนแรงเหมือนน้ำที่ปั่นในถังซักผ้า แล้วก็ไหลย้อนขึ้นไปที่หัวของผม แต่ครั้งนี้กระชาก ผมสัมผัสได้ถึงแรงกระชากที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผม จนผมเซ
ยังไม่ทันจะตั้งหลักคิดว่า "จบแล้วใช่ไหม ?" พระจิตเจ้าก็สาดกลับพระองค์เข้ามาที่หัวผมอีกครั้ง แรงกว่าเดิม รอบที่สอง รอบที่สาม รอบที่สี่ จนไม่รู้ว่ากี่รอบกันแล้ว และผมก็รู้ตัวแล้วว่า พอเถอะ ผมไม่ไหวที่จะประครองร่างกายในท่ายืนพนมมือแล้วหละ กล้ามเนื้อตัวผมกระปรกกระเปรี้ยไปหมด ทั้งมึนหัว เวียนหัว ตัวสั่น ยังไม่ทันจะจำอะไรได้ต่อ .. ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ไหวแล้ว หัวจะฟาดพื้นก็ช่างมันเถอะ ผมปล่อยตัวเองล้มลงไปเลย
ผมรู้ตัวอีกที แต่ตาหนักมาก สติผมบอกตัวเองว่า ผมนอนลงแช่พื้นเหมือนป้าข้าง ๆ แล้วหละ ผมพยายามจะลุกขึ้นแบบไม่ลืมตา เพราะอายคนอื่นที่มานอนอยู่ตรงนี้ แต่ความรู้สึก คือ มือมันอยู่ในท่าพนมเหมือนเดิมอยู่แล้วประกบแน่นอีกต่างหาก พยายามจะบังคับกล้ามเนื้อตัวเอง แต่มันไม่เป็นไปดั่งใจ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของผมอีกแล้ว ผมก็พยายามงัดสู้กับตัวเอง แต่แล้วก็สั่น อยู่ ๆ ผมก็สั่นไปทั้งตัวโดยเฉพาะส่วนหลังหดเกร็งไปมา สั่นทั้งที่นอนอยู่นั่นแหละ ไม่ได้หนาว แต่ร่างกายนี้มันสั่นเอง ผมจำช่วงเวลานี้ได้ เพราะผมอายเขา ทำไมต้องสั่น ยิ่งคิดห้ามก็ยิ่งสั่น สั่นจนผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขามองว่า ผมชักหรือเปล่า
ในใจผมก็คิดว่าทำอย่างไรดี ก็เลยคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามพระทัยพระองค์เถอะ ผมก็นอนรับรู้การสั่นของร่างกายนี้ไป อยากสั่นเท่าไหร่ เชิญ ผมจะนอนอยู่แบบนี้แหละ
ผมนอนสั่นอยู่นานไม่รู้กี่นาที จนอาการสั่นลดลง จนหยุดสั่น แล้วก็กลับมาสามารถบังคับกล้ามเนื้อตัวเองได้ และถึงจะลุกขึ้นมาเองได้แต่ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากเลย ผมพาตัวเองเดินเหมือนคนหมดแรงกลับมาที่นั่ง ผมเห็นประตูวัดปิด ผู้เข้าร่วมคนอื่นซึ่งส่วนใหญ่สูงอายุ ยังคงนั่งสวดสายประคำไม่หยุดเลย และไม่มีใครถามผมเลยว่าเป็นอย่างไร เหมือนกับทุกคนได้เคยเห็นเรื่องแบบนี้จนชินตา
พระคุณเจ้ายอแซฟ ประธาน ศรีดารุณศีล พระสังฆราช ประมุขสังฆมณฑลสุราษฏร์ธานี หลังจากวันที่ผมได้รับการปรกมือ ผมก็ไม่เคยคุยและเจอพระคุณเจ้าอีกเลย จน 10 ปีผ่านมา ผมได้มาเจอพระคุณเจ้าอีกครั้งในกลุ่มอัลฟ่าวัดแม่พระองค์อุปถัมภ์กรุงเทพฯ กรีฑา และเป็นครั้งแรกที่ผมได้คุยสด ๆ กับพระคุณเจ้าผ่านออนไลน์ และเล่าถึงเรื่องราวเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาให้ท่านฟัง
พระจิตเปิดบางสิ่งไว้ในจิตวิญญาณ
ตั้งแต่วันนั้นมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับผม เช่น การเห็นภาพที่แปลกประหลาดโผล่เข้ามาในใจ, การรู้ล่วงหน้าว่าใครคนนั้นจะต้องเสียชีวิตลง, เสียงที่ได้ยินในใจโดยที่ไม่ใช่ความคิดของตัวเอง, สัมผัสของความรู้สึกที่รุนแรงก่อนเวลาจะมีภัยอันตรายมาถึง, การไม่รู้อะไรเลยในสิ่งที่ต้องพูด แต่มีถ้อยคำ ภาพ หรือ ความคิดโผล่มาให้ผมเข้าใจ แล้วก็ดันถูกต้อง และอื่น ๆ เกิดขึ้นกับผมมาจนถึงทุกวันนี้
มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่ผมยังคงเป็นเหมือนเดิมที่ยังอยู่ในเฉดที่มีความชั่วร้าย แต่เจือจางลงในเรื่องเลิกเสพยา เสพบุหรี่ งดเหล้า ทั้งนี้ก็เพราะเจ็บป่วย ไม่มีงาน และ ไม่มีเงิน
มีหลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่ผมยังคงเป็นเหมือนเดิมที่ยังอยู่ในเฉดที่มีความชั่วร้าย แต่เจือจางลงในเรื่องเลิกเสพยา เสพบุหรี่ งดเหล้า ทั้งนี้ก็เพราะเจ็บป่วย ไม่มีงาน และ ไม่มีเงิน
พ่อติดคุก
ผ่านมาประมาณ 3 ปี พ่อผมติดคุกข้อหาพยายามฆ่า ศาลพิพากษา 30 ปี แต่เพราะเป็นผู้สูงอายุจึงได้รับการลดโทษเหลือ 10 ปี ผมซึ่งป่วยอยู่แล้วและโรค OCD บ้าบอนี่ก็รุนแรงมาก แต่ก็ต้องออกไปหาพ่อทุกเดือน เพื่อเอาเงิน (จากญาติ) ไปให้พ่อ โดยผมออกค่าเดินทาง
มีครั้งหนึ่งรถเก๋งผมเสีย ผมต้องขับมอเตอร์ไซต์ไปกลับเรือนจำ 140 กิโลเมตรในวันเดียว ผมกลับมาถึงบ้าน ขาด้านซ้ายผมใช้งานไม่ได้เพราะเนื้องอกมันเบียดทับเส้นประสาท
มีครั้งหนึ่งรถเก๋งผมเสีย ผมต้องขับมอเตอร์ไซต์ไปกลับเรือนจำ 140 กิโลเมตรในวันเดียว ผมกลับมาถึงบ้าน ขาด้านซ้ายผมใช้งานไม่ได้เพราะเนื้องอกมันเบียดทับเส้นประสาท
ผมตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ผมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แม้แต่มรดกทุกอย่างที่ผมสมควรจะมีส่วน และ ออกมาเช่าบ้านอยู่ตามลำพัง ในปี 2021 โควิททำลายผู้คนมากมาย และผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ผมเหลือเงินติดบัญชีแค่ประมาณหนึ่ง แต่ภาระค่าใช้จ่ายมีทุกเดือน ผมรู้สึกหนักอึ้งไปหมด
ในคืนนั้น ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะปลิดชีวิตตัวเองใน 120 วัน หากไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะเงินก้อนสุดท้ายในการดำรงชีวิตมันจะหมดในอีก 4 เดือนข้างหน้า
เมื่อผมรู้แล้วว่าผมอาจตายในอีก 4 เดือนข้างหน้า ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกจริง ๆ ของคนที่รู้สึกแล้วว่า 'ฉันไม่มีอะไรต้องห่วงและคิดมันอีก มันโล่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก' เป็นประสบการณ์ใหม่ของคนที่คิดฆ่าตัวตายโดยที่ไม่ใช้อารมณ์วูบวาบ แต่คิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผล
ผมเริ่มหัวเราะ ผมเริ่มมีความสุข ผมเริ่มกินของอร่อย ๆ ผมใชัชีวิตช้าลง และ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ทำงานเท่าที่ทำไหว ผมหลับได้ค่อนข้างดีเลย
ในคืนนั้น ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะปลิดชีวิตตัวเองใน 120 วัน หากไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะเงินก้อนสุดท้ายในการดำรงชีวิตมันจะหมดในอีก 4 เดือนข้างหน้า
เมื่อผมรู้แล้วว่าผมอาจตายในอีก 4 เดือนข้างหน้า ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกจริง ๆ ของคนที่รู้สึกแล้วว่า 'ฉันไม่มีอะไรต้องห่วงและคิดมันอีก มันโล่งและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก' เป็นประสบการณ์ใหม่ของคนที่คิดฆ่าตัวตายโดยที่ไม่ใช้อารมณ์วูบวาบ แต่คิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผล
ผมเริ่มหัวเราะ ผมเริ่มมีความสุข ผมเริ่มกินของอร่อย ๆ ผมใชัชีวิตช้าลง และ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ทำงานเท่าที่ทำไหว ผมหลับได้ค่อนข้างดีเลย
สุขจนอยากช่วยคนอื่น
เป็นตลกร้ายของชีวิต ในเดือนที่ 2 ของการรอคอยที่จะฆ่าตัวตายอย่างมุ่งมั่น เมื่อทอมมี่ ที่ผันตัวจากลูกค้ามาเป็นน้องที่คุยกับผมได้ทุกเรื่อง นึกอยากจะรับศีลล้างบาป ผมก็ว่าง ไหน ๆ ก็จะตายแล้ว ก็ทำอะไรดีดีที่ตัวเองมีความสุขซะเถอะ ก็เลยสอนคำสอนให้ทอมมี่ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ครูคำสอน แต่ .. ความรู้สึกที่รุนแรงอันเป็นผลของพระจิต ก็เร้าใจผมว่า ทอมมี่จะได้รับศีลล้างบาปแน่นอน
อยู่ ๆ เจ๊เอ็งซึ่งก็เคยเป็นลูกค้าของผม ก็กลับเข้ามาร่วมในไทม์ไลน์ชีวิต รวมถึงเจ้าหม่อมด้วย เรามีเรื่องคุยกันทุกวันและมีน้องกบโลกสวยเต้าฮวยภูเก็ตเพิ่มเข้ามาในตอนกลาง ๆ เรื่อง
กลายเป็นว่าผมมีความสุขซะงั้น ผมเหมือนมีเป้าหมายที่จะใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายอย่างตั้งใจ โดยทั้ง 4 คนได้ยินเพียงแค่ เสียงและท่วงทำนองที่เข้มแข็งของผมในฐานะผู้อธิบายคำสอน
อยู่ ๆ เจ๊เอ็งซึ่งก็เคยเป็นลูกค้าของผม ก็กลับเข้ามาร่วมในไทม์ไลน์ชีวิต รวมถึงเจ้าหม่อมด้วย เรามีเรื่องคุยกันทุกวันและมีน้องกบโลกสวยเต้าฮวยภูเก็ตเพิ่มเข้ามาในตอนกลาง ๆ เรื่อง
กลายเป็นว่าผมมีความสุขซะงั้น ผมเหมือนมีเป้าหมายที่จะใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายอย่างตั้งใจ โดยทั้ง 4 คนได้ยินเพียงแค่ เสียงและท่วงทำนองที่เข้มแข็งของผมในฐานะผู้อธิบายคำสอน
พระเจ้าหยุดการฆ่าตัวตาย
ในเดือนที่ 3 ของการรอฆ่าตัวตาย จู่ ๆ ผมก็ขายของได้มากถึง 20,000 กว่าบาท .. ซะงั้น และยังไม่ทันจะสรุปว่า จะเอาอย่างไรดีกับชีวิต เพราะผมได้เงินมาต่อชีวิตไปได้อีก 2 เดือนเลยทีเดียว เจ๊เอ็งก็พาผมไปเข้ากลุ่มออนไลน์ชื่ออัลฟาคาทอลิกวัดแม่พระองค์อุปถัมภ์
เข้าไปวันแรกก็โดนป้า ๆ 2 คนเข้ามาขายขนมจีบ เพราะผมแนะนำตัวว่า ผมเป็นผู้ป่วย (จำไม่ได้ว่าพูดไปไหมว่า อยากตายแล้ว) พี่หงษ์ฟ้าและพี่เข็ม คือ ผู้มีส่วนเข้ามาหยุดการฆ่าตัวตายของผมในครั้งนี้ (โดยไม่รู้ตัว)
เข้าไปวันแรกก็โดนป้า ๆ 2 คนเข้ามาขายขนมจีบ เพราะผมแนะนำตัวว่า ผมเป็นผู้ป่วย (จำไม่ได้ว่าพูดไปไหมว่า อยากตายแล้ว) พี่หงษ์ฟ้าและพี่เข็ม คือ ผู้มีส่วนเข้ามาหยุดการฆ่าตัวตายของผมในครั้งนี้ (โดยไม่รู้ตัว)
แต่ทั้งหมดนี้คือแผนการณ์
ในเดือนที่ 4 ของการรอฆ่าตัวตาย ผมทำตามข้อตกลงกับตัวเองเพราะว่าผมมีรายได้เข้า ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า มันก็ยืดออกไปแค่ประมาณ 4 เดือนเท่านั้นหละ ไปอีก 4 เดือนเดี๋ยวค่อยตายก็ได้นี่นะ
ปรากฏว่าพระเจ้าได้พาทอมมี่ได้เข้าไปเรียนคำสอนกับครูเบอร์นาแด๊ด แล้วพระเจ้าก็สนับสนุนเต็มที่ให้ทอมมี่ได้รับศีลล้างบาปในเดือนเมษายน ปี 2022 เลย และ ชีวิตผมเองก็กลับดีขึ้น มีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ พอที่จะดำรงชีวิตของตัวเองได้ แม้จะมีปัญหาอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฆ่าตัวตาย ... แหม่พระเจ้านี่ก็นะ
ปรากฏว่าพระเจ้าได้พาทอมมี่ได้เข้าไปเรียนคำสอนกับครูเบอร์นาแด๊ด แล้วพระเจ้าก็สนับสนุนเต็มที่ให้ทอมมี่ได้รับศีลล้างบาปในเดือนเมษายน ปี 2022 เลย และ ชีวิตผมเองก็กลับดีขึ้น มีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ พอที่จะดำรงชีวิตของตัวเองได้ แม้จะมีปัญหาอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฆ่าตัวตาย ... แหม่พระเจ้านี่ก็นะ
เพื่อให้เห็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้
ในช่วงเวลา 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจฆ่าตัวตายจริงจัง ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียบง่ายที่สุด ซึ่งผมไม่เคยมอบให้กับพระองค์เลย นั่นคือ 'ความไว้วางใจ'
ถ้อยคำนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในสถานการณ์ที่ชีวิตอยู่ตรงหน้าผา มนุษย์สักกี่คนที่จะเชื่อพระองค์ เมื่อพระองค์สั่งให้กระโดด
ถ้อยคำนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในสถานการณ์ที่ชีวิตอยู่ตรงหน้าผา มนุษย์สักกี่คนที่จะเชื่อพระองค์ เมื่อพระองค์สั่งให้กระโดด
กว่าจะมาเป็นเว็บไซต์ได้ในวันนี้
พันธกิจของคาทอลิกไทยแลนด์
ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากคาทอลิกไทยแลนด์
สนับสนุนบริจาคช่วยเหลือเว็บไซต์
ติดต่อคาทอลิกไทยแลนด์
คลิก รับข่าวแวดวงคาทอลิกถึงหน้าจอ