ข้อคิดชีวิต
โดยหลักการแล้ว ชีวิตจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ต้องมีจิตใจที่ยอมรับ 2 สิ่ง
1. ต้องยอมเจอความทุกข์ สำนึกในบาปที่เคยทำมาด้วยใจจริง และยอมรับการชดใช้ เพื่อจะได้เกิดการเรียนรู้
หุบปากที่จะไม่โวยวายตกใจ
หุบมือที่จะพิมพ์พร่ำบ่นอะไรเกินจริง
เก็บเท้าที่จะไม่วิ่งออกไปไหน
2. สะสมความดีอย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาหนึ่งนานพอ เพื่อเติมสิ่งดีเข้าชีวิต
. . .
แรก ๆ ก็งงกับวิธีคิดแบบนี้ แต่ผ่านมา 4 ปีแล้วที่เพียรอดทนทำจับมือกับพระเจ้า
พยายามคิดดี
เผลอคิดไม่ดี รีบกลับใจ
พยายามทำดี
เผลอทำไม่ดี รีบแก้ไข
พยายามพูดดี
เผลอพูดไม่ดี รีบขอโทษ
โดยให้ทั้งสามนี้ อิงอยู่บนพระวจนะที่ตรัสสอนไว้
และ ให้ทำทุกสถานที่ ไม่ว่าจะในโลกจริง หรือ ผ่านหน้าจอมือถือ ก็ให้สัดส่วนความสำเร็จ ได้มากกว่าไม่สำเร็จละกัน
. . .
โรคภัยที่ว่าแย่ ก็ได้รับการบรรเทาอย่างมาก ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องผ่าตัด
ความอ่อนไหวในหัวใจ ก็กลับมั่นคงแข็งแรง ขึ้นอย่างมาก ไม่รู้สึกเหงา ซึมเศร้า
ความโง่เขลาฝ่ายกาย ที่เคยมาก ก็ลดลง ลดลง จนแทบไม่ได้ใช้ให้ทำบาป
ความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว ก็กลับถูกเติมเต็มด้วยมิตรสหาย ที่พระเจ้าคัดสรรให้แล้ว ให้มาซัพพอร์ต ทั้งทางกายให้ได้อิ่มท้อง และจิตใจให้เต็มไปด้วยความมั่นใจ
. . .
เป็นความรักของพระเจ้า เป็นสิ่งที่โลกละทิ้งไป จริงอย่างที่พระเจ้าว่า
"เมื่อเราลุ่มหลงไปกับโลก ซึ่งปกครองเราด้วยงาน เงิน เซ็กส์ ความรักฝ่ายกาย จนจมลงไปกระแสสังคมที่เต็มไปด้วยบาป
เราจะยิ่งเหงา ยิ่งโดดเดี่ยว ได้มาเท่าไหร่ไม่เคยอิ่ม ยิ่งกิน ก็ยิ่งหิวกระหาย
และผลักให้เราคิด พูด และทำในทางลบออกไป และสิ่งลบ ๆ พวกนี้หละ
ที่สะสมทั้งในตัวเรา และ นอกตัวเรา (คือ กองอยู่ที่คนอื่น) จะโถมมาทำร้ายเรา x 7 เท่า"
. . .
ถ้าไม่ทำ 2 ข้อให้ครบ ก็เปล่าประโยชน์ คือ ไม่เอาของเสียออก แล้วหมั่นเติมของดีเข้า ก็เปล่าประโยชน์
เป็นแค่คริสตชนตามพิธีกรรมเท่านั้น และยังปิดโอกาสตัวเองที่จะได้พบ "ของล้ำค่า" อีกด้วยหละเธอ