สาระพระคัมภีร์
วันนี้ดูนาร์เนียภาคสองมาแล้ว ..
น้ำตาไหลตอนใกล้จบกับคำพูดที่กินใจของอัสลาน
หนังเรื่องนี้สอดแทรกถ้อยคำของไบเบิลลงไปแบบไม่ขัดเขิน
ไม่รู้สิ .. แต่ถ้อยคำมีพลังเหมือนในไบเบิล
ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า "ฟ้าดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำเราจะไม่สูญสิ้น"
ความอ่อนโยน พลังและความกล้าหาญของราชสีห์อย่างอัสลาน
ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลงตัว
ในเมื่อ นาร์เนีย คือ หนังที่มีพื้นฐานบนความเชื่อจากไบเบิล
ก็เลยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนาร์เนียมาฝากกันนะครับ
.........................................................................................................................
อัสลานมีตัวตนจริงในโลกของเรา .. เขาได้มาในโลกเราแล้วจริงๆ เพียงแต่ใช้ชื่ออื่น
ลูอิส ชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งไม่เคยเชื่อการมีอยู่ของพระเจ้ามาก่อน
จนกระทั่งมีอายุได้ 33 ปีเขาก็ได้พบความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มีผลงานด้านวรรณกรรมเกี่ยวกับความจริงพระเจ้ามากมาย
หนึ่งในนั้นก็คือ "นาร์เนีย"
ลูอิสถ่ายทอดความเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ของพระเยซูด้วยภาพของราชสีห์นามว่า "อัสลาน"
เยเรมีย์ : 25-38
พระองค์ทรงออกจากที่ซุ่มของพระองค์อย่างสิงห์หนุ่ม
เพราะว่า แผ่นดินของเขาทั้งหลายเป็นที่ร้างเปล่า
วิวรณ์ : 5-5
ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย ดูเถิด สิงโตจากตระกูลยูดาห์ หน่อเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับชัยชนะแล้ว
พระเยซูสืบเชื้อสายทางกษัตริย์ดาวิดซึ่งมีต้นตระกูลยูดาห์
คำว่า "สิงห์แห่งยูดาห์" จึงหมายถึงพระเยซูเจ้าโดยทันที
ลูอิสจงใจให้อัสลานเป็นสิงโต แถมเป็นสิงโตที่รักเด็ก
มีทั้งความน่าเกรงขาม ที่แม้แต่แม่มดขาวซึ่งเป็นตัวแทนของซาตานยังเกรงกลัว
และมีทั้งความอบอุ่นอ่อนโยนที่เด็กๆ เข้าหาได้อย่างสนิทใจ
อัสลานจึงเหมือนพระเยซูเจ้าที่ในชีวิตพระองค์มีเด็กๆ รายล้อมเสมอ
แต่ทว่าซาตานกลับกลัวพระองค์จนหัวหด
เพื่อจะลบล้าง ความผิด ที่ได้มีการจารึกกฎไว้มาแต่เริ่มต้น
จำได้ไหมว่ามีประโยคหนึ่งที่อัสลานพูดเป็นนัยว่า
"เมื่อตอนตั้งกฎ เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย"
แสดงว่าอัสลานอยู่มานานตั้งแต่แรกเริ่ม และอยู่ร่วมกับผู้สร้างกฎทั้งมวล
กฏ คือ ผู้ที่ทรยศหันไปเชื่อแม่มดขาวต้องตาย
และต้องให้เลือดคนนั้นเป็นของแม่มดขาว
แปลง่าย ๆ คือ คนที่ทิ้งพระเจ้าหันไปเชื่อซาตาน
ต้องตายและตกนรกไปอยู่กับซาตาน
เอ็ดมันด์ น้องคนที่ 3 ที่แท้จริงจะต้องตกเป็นพรรคพวกของแม่มดขาว
เพราะเขาเชื่อนางและทรยศทุกคน
แต่อัสลานกลับขอตายเพื่อแลกชีวิตเอ็ดมันกลับคืนมา
ภาพการตายของอัสลานที่สละชีวิตของตนเพื่อไถ่บาปคนอื่นนั้น คือ ภาพที่ชัดเจนของการถูกตรึงกางเขนของพระเยซูนั่นเอง
ยอห์น 15:13
ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา
1 โครินธ์ 15:22
มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น
.........................................................................................................................
อัสลาน ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ยอมตายเพื่อแลกชีวิตของผู้อื่น
ภาพการเดินขึ้นบันไดไปตายของอัสลานนั้น
แทบจะเป็นภาพเดียวกันในสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้รับ
พระองค์ไม่ได้โดนใครบังคับให้ตาย แต่พระองค์เต็มใจรับทรมานและสละชีวิตนั้นเอง
ยอห์น 10:17
พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า
พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก
ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น
เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก
นี่คือ พระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา
เมื่อครั้งพระเยซูได้ยอมรับความตาย พระองค์ทรงถูกสบประมาทถูกเยาะเย้ย
เช่นเดียวกับที่อัสลานถูกตบตี ถูกทึ้งขน ทำให้อับอาย ถูกมัด
อัสลานเองก็หวาดกลัวและทรมานกับการรับความตายนี้
และคำหนึ่งที่แม่มดขาวตะโกนออกมาต่อประชาชนของนางก่อนจะฆ่าอัสลานนั้นคือคำว่า
"จงดู! ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่"
ซึ่งเป็นคำเดียวกันกับที่ปิลาตตะโกนบอกประชาชนเมื่อจะประหารพระเยซูว่า
"จงดู! ชายผู้นี้"
เมื่ออัสลานตายสิ่งที่น่าสังเกตอย่างมาก
คือ ลูอิสจงใจให้ "ผู้หญิง2คน" มาเป็นพยานในการกลับคืนชีพของอัสลาน
ภาพการกลับคืนชีพของอัสลาน คือ มีแผ่นดินไหว และแท่นบูชายัญหักพักลง
ผู้หญิงทั้ง 2 คนกลับไม่เห็นศพ แต่ได้เห็นเมื่อกลับคืนชีพแล้วอย่างรุ่งโรจน์
ลองอ่านเทียบกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทนี้ดู
มัทธิว 28:1
หลังจากวันสับบาโตเช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกผู้หนึ่งไปดูพระคูหา บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน” สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์
นอกจากนี้อัสลานยังมีคำพูดทิ้งท้ายที่ว่า
แม่มดขาวแค่คิดว่าการได้ฆ่าอัสลานสำเร็จ ก็หมายถึงนางชนะ
"แม่มดขาวไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของการเสียสละของอาถรรพ์ล้ำลึก"
ซึ่งก็ตรงกับพระคัมภีร์อีกครั้งหนึ่งดังนี้
1 โครินธ์ 2:7
แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณ ของพระเจ้าเป็นธรรมล้ำลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำหรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา ไม่มีผู้ปกครองโลกนี้ผู้ใดล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์