LGBQT+ ในสายตาของพระคัมภีร์
หมวดหมู่ย่อย
LGBQT+ ในมุมมองคาทอลิก
LGBQT+ ในสายตาพระคัมภีร์
สมรสเท่าเทียมของคาทอลิก
คาทอลิกที่เป็น LGBQT+
ถามตอบสำคัญสำหรับ LGBQT+
LGBQT+สมัครเรียนคำสอน
บทความหน้านี้ค่อนข้างยาว ละเอียดอ่อนและซับซ้อน ผมจึงสรุปทั้งหมดไว้ให้ 8 ข้อในย่อหน้านี้ก่อน ถ้าหากคุณผู้อ่านอยากอ่านเพิ่มเติม ก็อ่านในย่อหน้าที่สองได้เป็นต้นไปครับ
1. ประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกันในมุมมองของพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีการตีความที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่เรื่องราวในปฐมกาลเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์และเหตุการณ์ในเมืองโสโดมและโกโมราห์ ไปจนถึงข้อความในพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศ
2. ในพันธสัญญาเดิม เราพบเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างดาวิดกับโยนาธาน และดาเนียลกับอัศเปนัส ซึ่งบางคนตีความว่าอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่ามิตรภาพธรรมดา อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นตัวอย่างของมิตรภาพที่ลึกซึ้งในบริบททางวัฒนธรรมของยุคนั้น
3. ในพันธสัญญาใหม่ มีข้อความในจดหมายของเปาโลที่กล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศที่ "ผิดธรรมชาติ" และรวมคนที่มีพฤติกรรมบางอย่างไว้ในรายชื่อของคนบาป อย่างไรก็ตาม การตีความข้อความเหล่านี้ในบริบทปัจจุบันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก
4. พระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยตรง แต่พูดถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายในภาพรวม การตีความต้องคำนึงถึงลักษณะของวรรณกรรมแนวอโปคาลิปส์และบริบททางประวัติศาสตร์
5. สำหรับคนที่มีความรู้สึกรักเพศเดียวกันแต่ต้องการดำเนินชีวิตตามความเชื่อทางศาสนา มีหลายแนวทางที่พวกเขาอาจพิจารณา หนึ่งในนั้น คือ การมุ่งเน้นที่ความรักของพระเจ้า การพึ่งพาพระคุณ และการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ โดยไม่ได้เน้นที่พฤติกรรมทางเพศเพียงอย่างเดียว
6. อีกแนวทางหนึ่ง คือ การพิจารณาเรื่องการอยู่เป็นโสด ซึ่งมีตัวอย่างและคำสอนในพระคัมภีร์ โดยมองว่าเป็นการถวายตัวรูปแบบหนึ่งและเป็นโอกาสในการรับใช้พระเจ้าและผู้อื่นอย่างเต็มที่
7. สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าการตีความพระคัมภีร์ต้องคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวรรณกรรม การนำข้อความจากยุคโบราณมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันต้องทำด้วยความระมัดระวังและไตร่ตรอง
8. ท้ายที่สุด การพิจารณาประเด็นนี้ควรนำไปสู่การไตร่ตรองเกี่ยวกับความรัก ความเมตตา และความยุติธรรมของพระเจ้า มากกว่าการตัดสินหรือประณามผู้อื่น การหาสมดุลระหว่างความเชื่อทางศาสนาและการยอมรับความหลากหลายในสังคมปัจจุบันเป็นสิ่งที่ท้าทายแต่สำคัญยิ่ง
ในทางวิชาการเทววิทยาและศาสนศาสตร์ ไบเบิลได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันไว้ในหลายส่วน ทั้งที่ชัดเจนและไม่ชัดเจน ดังนี้:
ข้อความที่ชัดเจน:
1. เลวีนิติ 18:22 และ 20:13 - ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
2. โรม 1:26-27 - กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างคนเพศเดียวกันว่าเป็นสิ่งที่ "ผิดธรรมชาติ"
3. 1 โครินธ์ 6:9-10 และ 1 ทิโมธี 1:9-10 - รวมคนรักเพศเดียวกันไว้ในรายชื่อของคนบาป
ข้อความที่ไม่ชัดเจนหรือตีความได้หลายแง่มุม:
1. ปฐมกาล 19 - เรื่องราวของเมืองโสโดมและโกโมราห์
2. วินิจฉัย 19 - เรื่องราวของชาวเลวีและภรรยาน้อยของเขา
ความสัมพันธ์ของบุคคลในพระคัมภีร์ที่บางครั้งถูกตีความว่าอาจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน:
1. ดาวิดและโยนาธาน (1 ซามูเอล 18:1-4, 2 ซามูเอล 1:26)
2. รูธและนาโอมี (หนังสือรูธ)
3. ดาเนียลและอัศเปนัส (ดาเนียล 1:9)
อย่างไรก็ตาม การตีความเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการ และนักวิชาการหลายท่านเห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นเพียงมิตรภาพที่ลึกซึ้งหรือความสัมพันธ์แบบครอบครัวเท่านั้น
ในปัจจุบัน มีการถกเถียงทางเทววิทยาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการตีความข้อพระคัมภีร์เหล่านี้และการประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมปัจจุบัน โดยมีทั้งฝ่ายที่ยืนยันจุดยืนดั้งเดิมและฝ่ายที่เรียกร้องให้มีการตีความใหม่ที่เปิดกว้างมากขึ้น
1. ประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกันในมุมมองของพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีการตีความที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่เรื่องราวในปฐมกาลเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์และเหตุการณ์ในเมืองโสโดมและโกโมราห์ ไปจนถึงข้อความในพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศ
2. ในพันธสัญญาเดิม เราพบเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างดาวิดกับโยนาธาน และดาเนียลกับอัศเปนัส ซึ่งบางคนตีความว่าอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่ามิตรภาพธรรมดา อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นตัวอย่างของมิตรภาพที่ลึกซึ้งในบริบททางวัฒนธรรมของยุคนั้น
3. ในพันธสัญญาใหม่ มีข้อความในจดหมายของเปาโลที่กล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศที่ "ผิดธรรมชาติ" และรวมคนที่มีพฤติกรรมบางอย่างไว้ในรายชื่อของคนบาป อย่างไรก็ตาม การตีความข้อความเหล่านี้ในบริบทปัจจุบันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก
4. พระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยตรง แต่พูดถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายในภาพรวม การตีความต้องคำนึงถึงลักษณะของวรรณกรรมแนวอโปคาลิปส์และบริบททางประวัติศาสตร์
5. สำหรับคนที่มีความรู้สึกรักเพศเดียวกันแต่ต้องการดำเนินชีวิตตามความเชื่อทางศาสนา มีหลายแนวทางที่พวกเขาอาจพิจารณา หนึ่งในนั้น คือ การมุ่งเน้นที่ความรักของพระเจ้า การพึ่งพาพระคุณ และการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ โดยไม่ได้เน้นที่พฤติกรรมทางเพศเพียงอย่างเดียว
6. อีกแนวทางหนึ่ง คือ การพิจารณาเรื่องการอยู่เป็นโสด ซึ่งมีตัวอย่างและคำสอนในพระคัมภีร์ โดยมองว่าเป็นการถวายตัวรูปแบบหนึ่งและเป็นโอกาสในการรับใช้พระเจ้าและผู้อื่นอย่างเต็มที่
7. สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าการตีความพระคัมภีร์ต้องคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวรรณกรรม การนำข้อความจากยุคโบราณมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันต้องทำด้วยความระมัดระวังและไตร่ตรอง
8. ท้ายที่สุด การพิจารณาประเด็นนี้ควรนำไปสู่การไตร่ตรองเกี่ยวกับความรัก ความเมตตา และความยุติธรรมของพระเจ้า มากกว่าการตัดสินหรือประณามผู้อื่น การหาสมดุลระหว่างความเชื่อทางศาสนาและการยอมรับความหลากหลายในสังคมปัจจุบันเป็นสิ่งที่ท้าทายแต่สำคัญยิ่ง
ในทางวิชาการเทววิทยาและศาสนศาสตร์ ไบเบิลได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกันไว้ในหลายส่วน ทั้งที่ชัดเจนและไม่ชัดเจน ดังนี้:
ข้อความที่ชัดเจน:
1. เลวีนิติ 18:22 และ 20:13 - ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
2. โรม 1:26-27 - กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างคนเพศเดียวกันว่าเป็นสิ่งที่ "ผิดธรรมชาติ"
3. 1 โครินธ์ 6:9-10 และ 1 ทิโมธี 1:9-10 - รวมคนรักเพศเดียวกันไว้ในรายชื่อของคนบาป
ข้อความที่ไม่ชัดเจนหรือตีความได้หลายแง่มุม:
1. ปฐมกาล 19 - เรื่องราวของเมืองโสโดมและโกโมราห์
2. วินิจฉัย 19 - เรื่องราวของชาวเลวีและภรรยาน้อยของเขา
ความสัมพันธ์ของบุคคลในพระคัมภีร์ที่บางครั้งถูกตีความว่าอาจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน:
1. ดาวิดและโยนาธาน (1 ซามูเอล 18:1-4, 2 ซามูเอล 1:26)
2. รูธและนาโอมี (หนังสือรูธ)
3. ดาเนียลและอัศเปนัส (ดาเนียล 1:9)
อย่างไรก็ตาม การตีความเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการ และนักวิชาการหลายท่านเห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นเพียงมิตรภาพที่ลึกซึ้งหรือความสัมพันธ์แบบครอบครัวเท่านั้น
ในปัจจุบัน มีการถกเถียงทางเทววิทยาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการตีความข้อพระคัมภีร์เหล่านี้และการประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมปัจจุบัน โดยมีทั้งฝ่ายที่ยืนยันจุดยืนดั้งเดิมและฝ่ายที่เรียกร้องให้มีการตีความใหม่ที่เปิดกว้างมากขึ้น
พระคัมภีร์เดิมห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
ในสมัยโบราณ ประมาณ 3,000 ปีก่อน ชนเผ่าอิสราเอลกำลังพยายามสร้างอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเองท่ามกลางอาณาจักรที่ทรงอิทธิพลโดยรอบ เช่น อียิปต์ บาบิโลน และคานาอัน พวกเขาต้องการสร้างระบบกฎหมายและจริยธรรมที่จะช่วยให้ชุมชนของตนอยู่รอดและเจริญรุ่งเรือง
ในบริบทนี้ หนังสือเลวีนิติถูกเขียนขึ้น โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อวางกฎระเบียบสำหรับนักบวชและประชาชนทั่วไป รวมถึงกฎเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ทางพิธีกรรมและศีลธรรม กฎเหล่านี้มีไว้เพื่อแยกชาวอิสราเอลออกจากชนชาติอื่นและสร้างอัตลักษณ์เฉพาะของตน
ข้อความในเลวีนิติ 18:22 และ 20:13 ที่ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและค่านิยมในสมัยนั้น ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการสืบเผ่าพันธุ์และการรักษาโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม ในสังคมที่ประชากรมีจำนวนน้อยและต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอก การสืบทอดเผ่าพันธุ์จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของชุมชน
นอกจากนี้ กฎเหล่านี้ยังอาจเป็นการตอบโต้ต่อพิธีกรรมทางศาสนาของชนชาติข้างเคียงที่อาจรวมการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันไว้ในพิธีกรรมบางอย่าง ชาวอิสราเอลต้องการแยกตัวออกจากการปฏิบัติเหล่านี้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ทางศาสนาของตน
อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจว่า บริบททางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างมากจากยุคโบราณ การตีความและการนำกฎเหล่านี้มาใช้ในสังคมปัจจุบันจึงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงการศาสนาและสังคมศาสตร์
ในบริบทนี้ หนังสือเลวีนิติถูกเขียนขึ้น โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อวางกฎระเบียบสำหรับนักบวชและประชาชนทั่วไป รวมถึงกฎเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ทางพิธีกรรมและศีลธรรม กฎเหล่านี้มีไว้เพื่อแยกชาวอิสราเอลออกจากชนชาติอื่นและสร้างอัตลักษณ์เฉพาะของตน
ข้อความในเลวีนิติ 18:22 และ 20:13 ที่ห้ามการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและค่านิยมในสมัยนั้น ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการสืบเผ่าพันธุ์และการรักษาโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม ในสังคมที่ประชากรมีจำนวนน้อยและต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอก การสืบทอดเผ่าพันธุ์จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดของชุมชน
นอกจากนี้ กฎเหล่านี้ยังอาจเป็นการตอบโต้ต่อพิธีกรรมทางศาสนาของชนชาติข้างเคียงที่อาจรวมการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันไว้ในพิธีกรรมบางอย่าง ชาวอิสราเอลต้องการแยกตัวออกจากการปฏิบัติเหล่านี้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ทางศาสนาของตน
อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจว่า บริบททางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างมากจากยุคโบราณ การตีความและการนำกฎเหล่านี้มาใช้ในสังคมปัจจุบันจึงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงการศาสนาและสังคมศาสตร์
เลวีนิติ 18:22 (ฉบับมาตรฐาน 2011): "อย่าสมสู่กับผู้ชายเหมือนสมสู่กับผู้หญิง เพราะเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน"
เลวีนิติ 20:13 (ฉบับมาตรฐาน 2011): "ถ้าชายคนใดสมสู่กับชายด้วยกันเหมือนสมสู่กับผู้หญิง ทั้งสองคนก็ได้กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน เขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน ให้โทษนั้นตกอยู่กับเขาเอง"
พระธรรมใหม่ก็พูดถึงความบาปของการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน
ในช่วงศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล โลกของจักรวรรดิโรมันเป็นภาพของอารยธรรมที่รุ่งเรืองและซับซ้อน ถนนหินอันยิ่งใหญ่ทอดยาวเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ วิหารอันงดงามตั้งตระหง่านในทุกมุมเมือง และผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกที่รู้จักในสมัยนั้นหลั่งไหลเข้ามาในกรุงโรม นำพาวัฒนธรรม ความเชื่อ และแนวคิดที่หลากหลายมาด้วย
เปาโลแห่งทาร์ซัส อดีตผู้กดขี่ชาวคริสต์ที่กลับใจมานับถือศาสนาคริสต์ ได้เริ่มเผยแผ่ศาสนาของเขา เปาโลเดินทางไปทั่วจักรวรรดิ ก่อตั้งชุมชนคริสตชนในเมืองต่าง ๆ และเขียนจดหมายถึงชุมชนเหล่านั้นเพื่อแนะนำและให้กำลังใจ จดหมายเหล่านี้ต่อมากลายเป็นส่วนสำคัญของพันธสัญญาใหม่ในพระคัมภีร์ไบเบิล
จดหมายถึงชาวโรม ซึ่งมีข้อความในโรม 1:26-27 เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญที่สุดของเปาโล ในจดหมายฉบับนี้ เปาโลพยายามอธิบายหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ให้กับชุมชนที่ประกอบด้วยทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติในกรุงโรม เขาเริ่มต้นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ไม่รู้จักพระเจ้า โดยกล่าวถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่เขามองว่าเป็นผลของการปฏิเสธพระเจ้า
เมื่อเปาโลกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ "ผิดธรรมชาติ" ในโรม 1:26-27 เราต้องพิจารณาว่าเขากำลังมองโลกผ่านเลนส์ของชายชาวยิวในศตวรรษที่ 1 ซึ่งคำว่า "ธรรมชาติ" ในบริบทนี้อาจไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจริงๆ แต่หมายถึงสิ่งที่สอดคล้องกับระเบียบของพระเจ้าตามความเข้าใจของเปาโล
ในสังคมโรมันขณะนั้น ความสัมพันธ์ทางเพศมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอำนาจในสังคมที่ไม่เท่าเทียม เช่น ระหว่างเจ้านายกับทาส หรือ ผู้ใหญ่กับเด็ก การวิพากษ์วิจารณ์ของเปาโลอาจมุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติเหล่านี้ มากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบยินยอมพร้อมใจระหว่างผู้ใหญ่
1 โครินธ์ 6:9-10 เปาโลเขียนถึงชุมชนคริสเตียนในเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีชื่อเสียงในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติทางเพศ ในบริบทนี้ เปาโลพยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับชุมชนคริสเตียน โดยเน้นย้ำว่าพวกเขาควรแตกต่างจากสังคมรอบข้าง
คำศัพท์ที่เปาโลใช้ในข้อความนี้ โดยเฉพาะคำว่า "อาร์เซโนคอยไต" (arsenokoitai) และ "มาลาคอย" (malakoi) เป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือและเป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการ บางคนตีความว่า หมายถึง การค้าประเวณี หรือ การล่วงละเมิดทางเพศ ในขณะที่บางคนเชื่อว่า หมายถึง ความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยทั่วไป
1 ทิโมธี เป็นจดหมายที่เชื่อว่าเขียนโดยเปาโล หรือ ลูกศิษย์ของเขา โดยส่งถึงทิโมธี ผู้นำคริสตจักรรุ่นใหม่ในขณะนั้น โดยจดหมายฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการบริหารคริสตจักร รวมถึงการจัดการกับพฤติกรรมที่ถือว่าไม่เหมาะสมในชุมชน
การตีความข้อความเหล่านี้ในปัจจุบันมีความหลากหลายมาก บางคนยึดมั่นในการตีความตามตัวอักษร มองว่าพระคัมภีร์ประณามความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศอย่างชัดเจน
ในขณะที่บางคนเชื่อว่าต้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และมองว่าข้อความเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศในความหมายปัจจุบัน แต่เป็นการประพฤติผิดทางเพศสำหรับทุกคน
นักวิชาการบางท่านเสนอว่า การอ่านพระคัมภีร์ควรคำนึงถึงแก่นแท้ของคำสอนของพระเยซู ซึ่งเน้นเรื่องความรัก การให้อภัย และการยอมรับ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าพระเยซูไม่เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยตรง แต่กลับวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินผู้อื่นและความไม่เมตตา (แต่ก็ต้องกลับมาประเด็นที่ว่า ความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเป็นบาปในสายพระเนตรของพระองค์หรือไม่ ? ถ้าใช่ แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง ก็ถือว่าเป็นบาปอยู่ดี)
แม้ว่าสังคมในปัจจุบันมีความเข้าใจเรื่องเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศที่ซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าในอดีตมาก และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาได้ช่วยให้เราเข้าใจว่า ความหลากหลายทางเพศนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายตามธรรมชาติของมนุษย์
แต่คำถามคือ มันเป็นความเข้าใจไปเองของมนุษย์หรือไม่ในเรื่องความหลากหลายทางเพศ หรือ ความหลากหลายทางเพศมันเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่แล้วในการทรงสร้าง เพียงแต่ว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนถึงไว้
ประเด็นเหล่านี้ยังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในชุมชนศาสนาทั่วโลก บางนิกายยอมรับและสนับสนุนสิทธิของ LGBTQ+ อย่างเต็มที่ ในขณะที่บางนิกายยังคงยึดมั่นในมุมมองแบบดั้งเดิม การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการประยุกต์ใช้คำสอนโบราณกับโลกสมัยใหม่
นอกจากนี้ ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองที่กว้างขึ้น การต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ในหลายประเทศได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและทัศนคติทางสังคม แต่ก็ยังมีความท้าทายและการต่อต้านในหลายพื้นที่
เปาโลแห่งทาร์ซัส อดีตผู้กดขี่ชาวคริสต์ที่กลับใจมานับถือศาสนาคริสต์ ได้เริ่มเผยแผ่ศาสนาของเขา เปาโลเดินทางไปทั่วจักรวรรดิ ก่อตั้งชุมชนคริสตชนในเมืองต่าง ๆ และเขียนจดหมายถึงชุมชนเหล่านั้นเพื่อแนะนำและให้กำลังใจ จดหมายเหล่านี้ต่อมากลายเป็นส่วนสำคัญของพันธสัญญาใหม่ในพระคัมภีร์ไบเบิล
จดหมายถึงชาวโรม ซึ่งมีข้อความในโรม 1:26-27 เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญที่สุดของเปาโล ในจดหมายฉบับนี้ เปาโลพยายามอธิบายหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ให้กับชุมชนที่ประกอบด้วยทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติในกรุงโรม เขาเริ่มต้นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ไม่รู้จักพระเจ้า โดยกล่าวถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่เขามองว่าเป็นผลของการปฏิเสธพระเจ้า
เมื่อเปาโลกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ "ผิดธรรมชาติ" ในโรม 1:26-27 เราต้องพิจารณาว่าเขากำลังมองโลกผ่านเลนส์ของชายชาวยิวในศตวรรษที่ 1 ซึ่งคำว่า "ธรรมชาติ" ในบริบทนี้อาจไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจริงๆ แต่หมายถึงสิ่งที่สอดคล้องกับระเบียบของพระเจ้าตามความเข้าใจของเปาโล
ในสังคมโรมันขณะนั้น ความสัมพันธ์ทางเพศมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอำนาจในสังคมที่ไม่เท่าเทียม เช่น ระหว่างเจ้านายกับทาส หรือ ผู้ใหญ่กับเด็ก การวิพากษ์วิจารณ์ของเปาโลอาจมุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติเหล่านี้ มากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบยินยอมพร้อมใจระหว่างผู้ใหญ่
1 โครินธ์ 6:9-10 เปาโลเขียนถึงชุมชนคริสเตียนในเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีชื่อเสียงในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการปฏิบัติทางเพศ ในบริบทนี้ เปาโลพยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับชุมชนคริสเตียน โดยเน้นย้ำว่าพวกเขาควรแตกต่างจากสังคมรอบข้าง
คำศัพท์ที่เปาโลใช้ในข้อความนี้ โดยเฉพาะคำว่า "อาร์เซโนคอยไต" (arsenokoitai) และ "มาลาคอย" (malakoi) เป็นคำที่มีความหมายคลุมเครือและเป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการ บางคนตีความว่า หมายถึง การค้าประเวณี หรือ การล่วงละเมิดทางเพศ ในขณะที่บางคนเชื่อว่า หมายถึง ความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยทั่วไป
1 ทิโมธี เป็นจดหมายที่เชื่อว่าเขียนโดยเปาโล หรือ ลูกศิษย์ของเขา โดยส่งถึงทิโมธี ผู้นำคริสตจักรรุ่นใหม่ในขณะนั้น โดยจดหมายฉบับนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้คำแนะนำในการบริหารคริสตจักร รวมถึงการจัดการกับพฤติกรรมที่ถือว่าไม่เหมาะสมในชุมชน
การตีความข้อความเหล่านี้ในปัจจุบันมีความหลากหลายมาก บางคนยึดมั่นในการตีความตามตัวอักษร มองว่าพระคัมภีร์ประณามความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศอย่างชัดเจน
ในขณะที่บางคนเชื่อว่าต้องพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และมองว่าข้อความเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศในความหมายปัจจุบัน แต่เป็นการประพฤติผิดทางเพศสำหรับทุกคน
นักวิชาการบางท่านเสนอว่า การอ่านพระคัมภีร์ควรคำนึงถึงแก่นแท้ของคำสอนของพระเยซู ซึ่งเน้นเรื่องความรัก การให้อภัย และการยอมรับ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าพระเยซูไม่เคยกล่าวถึงความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศโดยตรง แต่กลับวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินผู้อื่นและความไม่เมตตา (แต่ก็ต้องกลับมาประเด็นที่ว่า ความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเป็นบาปในสายพระเนตรของพระองค์หรือไม่ ? ถ้าใช่ แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง ก็ถือว่าเป็นบาปอยู่ดี)
แม้ว่าสังคมในปัจจุบันมีความเข้าใจเรื่องเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศที่ซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าในอดีตมาก และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาได้ช่วยให้เราเข้าใจว่า ความหลากหลายทางเพศนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายตามธรรมชาติของมนุษย์
แต่คำถามคือ มันเป็นความเข้าใจไปเองของมนุษย์หรือไม่ในเรื่องความหลากหลายทางเพศ หรือ ความหลากหลายทางเพศมันเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่แล้วในการทรงสร้าง เพียงแต่ว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนถึงไว้
ประเด็นเหล่านี้ยังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในชุมชนศาสนาทั่วโลก บางนิกายยอมรับและสนับสนุนสิทธิของ LGBTQ+ อย่างเต็มที่ ในขณะที่บางนิกายยังคงยึดมั่นในมุมมองแบบดั้งเดิม การถกเถียงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการประยุกต์ใช้คำสอนโบราณกับโลกสมัยใหม่
นอกจากนี้ ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองที่กว้างขึ้น การต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ในหลายประเทศได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและทัศนคติทางสังคม แต่ก็ยังมีความท้าทายและการต่อต้านในหลายพื้นที่
เมืองโสโดมและโกโมราห์เมืองแห่งความบาปของคนที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน
ผมจะเชื่อมโยงเรื่องราวของเมืองโสโดมและโกโมราห์ให้สอดคล้องกับบริบทก่อนหน้าที่ผมได้เขียนมา
เรื่องราวของเมืองโสโดมและโกโมราห์ปรากฏในพระธรรมปฐมกาล บทที่ 19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาเดิมในพระคัมภีร์ไบเบิล เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตะวันตก และมักถูกอ้างอิงในการอภิปรายเกี่ยวกับศีลธรรมและพฤติกรรมทางเพศ
จุดสำคัญของเรื่อง คือ พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์สององค์มาที่เมืองโสโดม เพื่อมาพาโลทหลานชายของอับราฮัมออกจากโสโดม โดยโลทได้ต้อนรับทูตสวรรค์ทั้งสององค์เข้ามาในบ้านก่อน เพราะถูกชายชาวเมืองโสโดมต่างจ้องมองว่า พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น
โดยชายชาวเมืองโสโดมจำนวนมาก ต่างหลงใหลในรูปกายอันงดงามของทูตสวรรค์ จึงพากันมารวมตัวกันที่บ้านของโลท และเรียกร้องให้ส่งทูตสวรรค์ทั้ง 2 องค์นั้นออกมา เพื่อพวกเขาจะได้สมสู่กับชายทั้งสองคนนี้
โลทก็ได้ปฏิเสธและเสนอลูกสาวของเขาให้แทน แต่ทูตสวรรค์ได้ปกป้องโลทและครอบครัวไว้ให้พ้นจากเหตุการณ์ที่โหดร้ายนี้ โดยพาโลทและครอบครัวออกจากเมืองโสโดม ก่อนที่พระเจ้าจะตัดสินใจทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ เนื่องจากความชั่วร้ายของผู้คนในเมืองนี้ด้วยไฟและกำมะถัน
การตีความเรื่องนี้มีหลายมุมมอง บางคนมองว่าเป็นการประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศโดยตรง แต่นักวิชาการหลายท่านเสนอมุมมองที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยพวกเขาชี้ให้เห็นว่าบาปของชาวโสโดมอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎการต้อนรับแขก ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ
นอกจากนี้ การกระทำของชาวเมืองยังสามารถตีความได้ว่าเป็นความพยายามในการข่มขืนหมู่ ซึ่งเป็นรูปแบบของความรุนแรงและการแสดงอำนาจ มากกว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศแบบยินยอมพร้อมใจ
ในพระคัมภีร์เองก็มีการอ้างถึงบาปของโสโดมในบริบทอื่นๆ เช่น ในหนังสือเอเสเคียล ที่กล่าวว่า "นี่แหละคือความผิดบาปของโสโดม น้องสาวของเจ้า คือ เธอและบุตรสาวของเธอมีความเย่อหยิ่ง มีอาหารบริบูรณ์และมีความสุขสบายอย่างเฉื่อยชา เธอไม่ได้ช่วยเหลือคนจนและคนขัดสน" (เอเสเคียล 16:49)
การตีความเรื่องนี้ในบริบทร่วมสมัยจึงต้องพิจารณาหลายแง่มุม ทั้งในเรื่องของการละเมิดกฎการต้อนรับแขก การใช้ความรุนแรง และความเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น มากกว่าจะเน้นเพียงแค่ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศเพียงประเด็นเดียว
นอกจากนี้ เรายังสามารถศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น โดยเฉพาะในเรื่องของกฎการต้อนรับแขกและความสำคัญของมันในสังคมที่การเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย การเข้าใจบริบทนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าทำไมการละเมิดกฎนี้จึงถือเป็นความผิดร้ายแรง
จุดสำคัญของเรื่อง คือ พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์สององค์มาที่เมืองโสโดม เพื่อมาพาโลทหลานชายของอับราฮัมออกจากโสโดม โดยโลทได้ต้อนรับทูตสวรรค์ทั้งสององค์เข้ามาในบ้านก่อน เพราะถูกชายชาวเมืองโสโดมต่างจ้องมองว่า พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น
โดยชายชาวเมืองโสโดมจำนวนมาก ต่างหลงใหลในรูปกายอันงดงามของทูตสวรรค์ จึงพากันมารวมตัวกันที่บ้านของโลท และเรียกร้องให้ส่งทูตสวรรค์ทั้ง 2 องค์นั้นออกมา เพื่อพวกเขาจะได้สมสู่กับชายทั้งสองคนนี้
โลทก็ได้ปฏิเสธและเสนอลูกสาวของเขาให้แทน แต่ทูตสวรรค์ได้ปกป้องโลทและครอบครัวไว้ให้พ้นจากเหตุการณ์ที่โหดร้ายนี้ โดยพาโลทและครอบครัวออกจากเมืองโสโดม ก่อนที่พระเจ้าจะตัดสินใจทำลายเมืองโสโดมและโกโมราห์ เนื่องจากความชั่วร้ายของผู้คนในเมืองนี้ด้วยไฟและกำมะถัน
การตีความเรื่องนี้มีหลายมุมมอง บางคนมองว่าเป็นการประณามพฤติกรรมรักร่วมเพศโดยตรง แต่นักวิชาการหลายท่านเสนอมุมมองที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยพวกเขาชี้ให้เห็นว่าบาปของชาวโสโดมอาจเกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎการต้อนรับแขก ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ
นอกจากนี้ การกระทำของชาวเมืองยังสามารถตีความได้ว่าเป็นความพยายามในการข่มขืนหมู่ ซึ่งเป็นรูปแบบของความรุนแรงและการแสดงอำนาจ มากกว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศแบบยินยอมพร้อมใจ
ในพระคัมภีร์เองก็มีการอ้างถึงบาปของโสโดมในบริบทอื่นๆ เช่น ในหนังสือเอเสเคียล ที่กล่าวว่า "นี่แหละคือความผิดบาปของโสโดม น้องสาวของเจ้า คือ เธอและบุตรสาวของเธอมีความเย่อหยิ่ง มีอาหารบริบูรณ์และมีความสุขสบายอย่างเฉื่อยชา เธอไม่ได้ช่วยเหลือคนจนและคนขัดสน" (เอเสเคียล 16:49)
การตีความเรื่องนี้ในบริบทร่วมสมัยจึงต้องพิจารณาหลายแง่มุม ทั้งในเรื่องของการละเมิดกฎการต้อนรับแขก การใช้ความรุนแรง และความเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น มากกว่าจะเน้นเพียงแค่ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศเพียงประเด็นเดียว
นอกจากนี้ เรายังสามารถศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้น โดยเฉพาะในเรื่องของกฎการต้อนรับแขกและความสำคัญของมันในสังคมที่การเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย การเข้าใจบริบทนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าทำไมการละเมิดกฎนี้จึงถือเป็นความผิดร้ายแรง
ประเด็นในผู้วินิจฉัยบทที่ 19 เหมือนกันแต่ลงเอยต่างกันด้วยเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจและซับซ้อน
เป็นเหตุการณ์หลังจากโสโดมซึ่งอยู่ในยุคของผู้วินิจฉัยอิสราเอลโบราณ เป็นช่วงเวลาที่มีความวุ่นวายทางสังคมและศีลธรรมอย่างมาก
เรื่องราวนี้เกี่ยวกับชาวเลวีคนหนึ่งและภรรยาน้อยของเขา ที่เดินทางผ่านเมืองกิเบอาห์ของเผ่าเบนยามิน พวกเขาได้รับการต้อนรับจากชายชราคนหนึ่งให้พักในบ้านของเขา
ระหว่างที่พวกเขาพักอยู่นั้น ชายชั่วในเมืองได้มาล้อมบ้านและเรียกร้องให้เจ้าของบ้านส่งชายแขกออกมา "เพื่อเราจะได้ร่วมเพศกับเขา" ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในเรื่องของโสโดมและโกโมราห์
เจ้าของบ้านปฏิเสธและเสนอลูกสาวพรหมจารีของเขาและภรรยาน้อยของแขกแทน ในที่สุด ภรรยาน้อยถูกส่งออกไปและถูกข่มขืนหมู่จนเสียชีวิต
เรื่องราวนี้มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องของโสโดมและโกโมราห์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ ในขณะที่เรื่องของโสโดมจบลงด้วยการลงโทษจากพระเจ้า เรื่องนี้จบลงด้วยสงครามกลางเมืองระหว่างเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล
การตีความเรื่องนี้ในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันนั้นอาจเป็นการมองที่ผิวเผิน เพราะประเด็นหลักของเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ แต่เป็นเรื่องของความรุนแรง การละเมิดสิทธิ และความล้มเหลวของสังคมในการปกป้องผู้อ่อนแอ
นักวิชาการหลายท่านมองว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่เสื่อมทรามในยุคของผู้วินิจฉัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ "ทุกคนทำตามใจชอบ" ตามที่กล่าวไว้ในตอนท้ายของหนังสือผู้วินิจฉัย
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา คือ การปฏิบัติต่อผู้หญิง ทั้งที่เจ้าของบ้านเสนอลูกสาวและภรรยาน้อยของแขกให้กับฝูงชนแล้ว และการที่ชาวเลวียอมส่งภรรยาน้อยของตนออกไป สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของผู้หญิงในสังคมสมัยนั้น
ในแง่ของศีลธรรม เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอพฤติกรรมที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง แต่เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสังคม
หากเราเปรียบเทียบเรื่องชาวเลวีนี้กับประเด็นของความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันในโสโดม ก็จะเห็นความแตกต่างในการตีความ ทั้งที่เป็นเรื่องความบาปทั้งคู่
เรื่องราวนี้เกี่ยวกับชาวเลวีคนหนึ่งและภรรยาน้อยของเขา ที่เดินทางผ่านเมืองกิเบอาห์ของเผ่าเบนยามิน พวกเขาได้รับการต้อนรับจากชายชราคนหนึ่งให้พักในบ้านของเขา
ระหว่างที่พวกเขาพักอยู่นั้น ชายชั่วในเมืองได้มาล้อมบ้านและเรียกร้องให้เจ้าของบ้านส่งชายแขกออกมา "เพื่อเราจะได้ร่วมเพศกับเขา" ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในเรื่องของโสโดมและโกโมราห์
เจ้าของบ้านปฏิเสธและเสนอลูกสาวพรหมจารีของเขาและภรรยาน้อยของแขกแทน ในที่สุด ภรรยาน้อยถูกส่งออกไปและถูกข่มขืนหมู่จนเสียชีวิต
เรื่องราวนี้มักถูกนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องของโสโดมและโกโมราห์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญ ในขณะที่เรื่องของโสโดมจบลงด้วยการลงโทษจากพระเจ้า เรื่องนี้จบลงด้วยสงครามกลางเมืองระหว่างเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล
การตีความเรื่องนี้ในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันนั้นอาจเป็นการมองที่ผิวเผิน เพราะประเด็นหลักของเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ แต่เป็นเรื่องของความรุนแรง การละเมิดสิทธิ และความล้มเหลวของสังคมในการปกป้องผู้อ่อนแอ
นักวิชาการหลายท่านมองว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่เสื่อมทรามในยุคของผู้วินิจฉัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ "ทุกคนทำตามใจชอบ" ตามที่กล่าวไว้ในตอนท้ายของหนังสือผู้วินิจฉัย
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา คือ การปฏิบัติต่อผู้หญิง ทั้งที่เจ้าของบ้านเสนอลูกสาวและภรรยาน้อยของแขกให้กับฝูงชนแล้ว และการที่ชาวเลวียอมส่งภรรยาน้อยของตนออกไป สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของผู้หญิงในสังคมสมัยนั้น
ในแง่ของศีลธรรม เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอพฤติกรรมที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง แต่เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสังคม
หากเราเปรียบเทียบเรื่องชาวเลวีนี้กับประเด็นของความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันในโสโดม ก็จะเห็นความแตกต่างในการตีความ ทั้งที่เป็นเรื่องความบาปทั้งคู่
ดาวิดกับโยนาธาน และ ดาเนียลกับอัศเปนัส ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่มักถูกตีความในบริบทของความรักระหว่างเพศเดียวกัน
เรื่องราวของดาวิดและโยนาธานเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งที่สุดที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ใน 1 ซามูเอล 18:1-4 กล่าวว่า "จิตใจของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานรักดาวิดเหมือนรักชีวิตของตนเอง"
ความสัมพันธ์นี้ยังถูกบรรยายอย่างซาบซึ้งใน 2 ซามูเอล 1:26 เมื่อดาวิดร่ำไห้ถึงโยนาธานว่า "พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อพี่ พี่เป็นที่ชื่นใจของข้าพเจ้ามาก ความรักของพี่ที่มีต่อข้าพเจ้าประหลาดเหลือยิ่งกว่าความรักของสตรี"
ในขณะที่บางกลุ่มตีความความสัมพันธ์นี้ว่าเป็นความรักฉันท์คู่รัก แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นตัวอย่างของมิตรภาพที่ลึกซึ้งและความรักฉันพี่น้อง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ
ความสัมพันธ์ของดาวิดและโยนาธานยังสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนทางการเมืองในยุคนั้น โดยโยนาธานเป็นบุตรชายของกษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองกับดาวิด แต่โยธาธานกลับสนับสนุนดาวิด
ส่วนเรื่องของดาเนียลและอัศเปนัส ในดาเนียล 1:9 กล่าวว่า "พระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและเมตตาดาเนียล" คำว่า "เมตตา" ในที่นี้แปลมาจากคำในภาษาฮีบรูที่หมายถึงความรักที่อ่อนโยน หรือ ความเมตตากรุณา
บางคนตีความว่านี่อาจเป็นนัยยะของความสัมพันธ์ทางโรแมนติก แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นการบรรยายถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าประทานให้ดาเนียลผ่านทางอัศเปนัส
ในบริบททางประวัติศาสตร์ ดาเนียลเป็นเชลยชาวยิวในราชสำนักบาบิโลน การที่เขาได้รับความโปรดปรานจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น อัศเปนัสจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อความอยู่รอดและความสำเร็จของเขา
การตีความความสัมพันธ์ของบุคคลเหล่านี้ ผ่านมุมมองของคนยุคใหม่ ซึ่งเป็นการมองย้อนอดีตด้วยเลนส์ปัจจุบัน (anachronism) อาจเกิดการตีความที่ผิดไปตามกระแสของคนยุคใหม่ว่า พวกเขาเป็นคนรักเพศเดียวกัน เพราะแนวคิดเรื่องรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในยุคสมัยใหม่ แตกต่างจากสมัยโบราณมาก
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ ในบริบทฉันท์พี่น้องที่ไม่ได้มีการมีเพศสัมพันธ์กัน จะแสดงออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ตรงนี้เป็นกรอบที่เราต้องเข้าใจให้ชัดเจน
ความสัมพันธ์นี้ยังถูกบรรยายอย่างซาบซึ้งใน 2 ซามูเอล 1:26 เมื่อดาวิดร่ำไห้ถึงโยนาธานว่า "พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อพี่ พี่เป็นที่ชื่นใจของข้าพเจ้ามาก ความรักของพี่ที่มีต่อข้าพเจ้าประหลาดเหลือยิ่งกว่าความรักของสตรี"
ในขณะที่บางกลุ่มตีความความสัมพันธ์นี้ว่าเป็นความรักฉันท์คู่รัก แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นตัวอย่างของมิตรภาพที่ลึกซึ้งและความรักฉันพี่น้อง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ
ความสัมพันธ์ของดาวิดและโยนาธานยังสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนทางการเมืองในยุคนั้น โดยโยนาธานเป็นบุตรชายของกษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองกับดาวิด แต่โยธาธานกลับสนับสนุนดาวิด
ส่วนเรื่องของดาเนียลและอัศเปนัส ในดาเนียล 1:9 กล่าวว่า "พระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและเมตตาดาเนียล" คำว่า "เมตตา" ในที่นี้แปลมาจากคำในภาษาฮีบรูที่หมายถึงความรักที่อ่อนโยน หรือ ความเมตตากรุณา
บางคนตีความว่านี่อาจเป็นนัยยะของความสัมพันธ์ทางโรแมนติก แต่นักวิชาการส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นการบรรยายถึงความโปรดปรานที่พระเจ้าประทานให้ดาเนียลผ่านทางอัศเปนัส
ในบริบททางประวัติศาสตร์ ดาเนียลเป็นเชลยชาวยิวในราชสำนักบาบิโลน การที่เขาได้รับความโปรดปรานจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น อัศเปนัสจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อความอยู่รอดและความสำเร็จของเขา
การตีความความสัมพันธ์ของบุคคลเหล่านี้ ผ่านมุมมองของคนยุคใหม่ ซึ่งเป็นการมองย้อนอดีตด้วยเลนส์ปัจจุบัน (anachronism) อาจเกิดการตีความที่ผิดไปตามกระแสของคนยุคใหม่ว่า พวกเขาเป็นคนรักเพศเดียวกัน เพราะแนวคิดเรื่องรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในยุคสมัยใหม่ แตกต่างจากสมัยโบราณมาก
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษในวัฒนธรรมตะวันออกกลางโบราณ ในบริบทฉันท์พี่น้องที่ไม่ได้มีการมีเพศสัมพันธ์กัน จะแสดงออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ตรงนี้เป็นกรอบที่เราต้องเข้าใจให้ชัดเจน
วิวรณ์บทสรุปจุดจบของคนรักเพศเดียวกันหรือไม่ ?
ในการวิเคราะห์พระธรรมวิวรณ์ในบริบทของประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกัน เราต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์และวรรณกรรม ดังนี้:
พระธรรมวิวรณ์เป็นงานเขียนแนวอโปคาลิปส์ (Apocalyptic literature) ซึ่งใช้ภาษาเชิงสัญลักษณ์และภาพพจน์ที่ซับซ้อน การตีความจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการตีความตามตัวอักษรมากเกินไป
ในวิวรณ์ไม่มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยตรง แต่มีการใช้ภาพลักษณ์ของการแต่งงานระหว่างพระคริสต์ (เจ้าบ่าว) กับคริสตจักร (เจ้าสาว) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์
วิวรณ์ 21:8 และ 22:15 กล่าวถึงรายการของคนบาปที่จะไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า แต่ไม่ได้ระบุถึงคนรักเพศเดียวกันโดยเฉพาะ คำที่ใช้คือ "คนลามก" ซึ่งอาจตีความได้หลากหลาย บางคนก็ว่า พระเจ้าห้ามเอาไว้ในพระธรรมเดิม คือ เลวีนิติอย่างชัดเจน แต่บางกลุ่มคณะก็ว่า พระเยซูได้กำหนดวิธีความรอดใหม่เอาไว้แล้ว คือ พึ่งพาพระองค์ แม้จะยังเป็นคนรักเพศเดียวกันก็ตาม
แต่ที่มีการตีความซับซ้อนกว่า ก็คือ พวกเขาบอกว่า พระเยซูมิได้มาเพื่อลบล้างบัญญัติใดที่พระบิดาได้ทรงกำหนดเอาไว้ นั่นก็แปลว่า การห้ามให้มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันนั้น ที่พระบิดากำหนดไว้ก็ยังคงต้องยึดถือ แต่พระเยซูกลับมาทำให้มันบริบูรณ์เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไปว่า ไม่ให้คนรักเพศเดียวกันนั้นมีเพศสัมพันธ์ต่อกันแม้กระทั่งในความคิด (แปลความว่า การคิดหรือจินตนาการของคนรักเพศเดียวกันในทางลามกก็ถือว่าเป็นบาป)
ในมุมมองของศาสนศาสตร์ การพิพากษาในวิวรณ์มักถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมและความไม่ชอบธรรมในภาพรวม มากกว่าจะเจาะจงที่พฤติกรรมทางเพศใดเพศหนึ่ง
นักศาสนศาสตร์บางท่านเสนอว่า การพิพากษาในวิวรณ์เน้นที่การต่อต้านระบบกดขี่และความอยุติธรรมในสังคม มากกว่าจะเป็นการตัดสินพฤติกรรมส่วนบุคคล
ในบริบทของการกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ หลักคำสอนส่วนใหญ่เน้นที่ความรอดผ่านความเชื่อและพระคุณของพระเจ้า มากกว่าการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมอย่างเคร่งครัด
นักวิชาการบางท่านเสนอว่า ภาพของ "นครใหม่" ในวิวรณ์อาจเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่ยุติธรรมและครอบคลุมทุกคน ซึ่งอาจรวมถึงการยอมรับความหลากหลายทางเพศด้วย
อย่างไรก็ตาม การตีความวิวรณ์ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงการศาสนศาสตร์ และมีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คำสอนเหล่านี้ในบริบทร่วมสมัย
สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า การตีความพระคัมภีร์ โดยเฉพาะหนังสือที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์อย่างวิวรณ์ ควรทำด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวรรณกรรม
ในท้ายที่สุด การพิจารณาประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกันในบริบทของวิวรณ์และการกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ควรนำไปสู่การไตร่ตรองเกี่ยวกับความรัก ความเมตตา และความยุติธรรมของพระเจ้า มากกว่าการตัดสินหรือประณามผู้อื่น
พระธรรมวิวรณ์เป็นงานเขียนแนวอโปคาลิปส์ (Apocalyptic literature) ซึ่งใช้ภาษาเชิงสัญลักษณ์และภาพพจน์ที่ซับซ้อน การตีความจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการตีความตามตัวอักษรมากเกินไป
ในวิวรณ์ไม่มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยตรง แต่มีการใช้ภาพลักษณ์ของการแต่งงานระหว่างพระคริสต์ (เจ้าบ่าว) กับคริสตจักร (เจ้าสาว) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์
วิวรณ์ 21:8 และ 22:15 กล่าวถึงรายการของคนบาปที่จะไม่ได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า แต่ไม่ได้ระบุถึงคนรักเพศเดียวกันโดยเฉพาะ คำที่ใช้คือ "คนลามก" ซึ่งอาจตีความได้หลากหลาย บางคนก็ว่า พระเจ้าห้ามเอาไว้ในพระธรรมเดิม คือ เลวีนิติอย่างชัดเจน แต่บางกลุ่มคณะก็ว่า พระเยซูได้กำหนดวิธีความรอดใหม่เอาไว้แล้ว คือ พึ่งพาพระองค์ แม้จะยังเป็นคนรักเพศเดียวกันก็ตาม
แต่ที่มีการตีความซับซ้อนกว่า ก็คือ พวกเขาบอกว่า พระเยซูมิได้มาเพื่อลบล้างบัญญัติใดที่พระบิดาได้ทรงกำหนดเอาไว้ นั่นก็แปลว่า การห้ามให้มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันนั้น ที่พระบิดากำหนดไว้ก็ยังคงต้องยึดถือ แต่พระเยซูกลับมาทำให้มันบริบูรณ์เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไปว่า ไม่ให้คนรักเพศเดียวกันนั้นมีเพศสัมพันธ์ต่อกันแม้กระทั่งในความคิด (แปลความว่า การคิดหรือจินตนาการของคนรักเพศเดียวกันในทางลามกก็ถือว่าเป็นบาป)
ในมุมมองของศาสนศาสตร์ การพิพากษาในวิวรณ์มักถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมและความไม่ชอบธรรมในภาพรวม มากกว่าจะเจาะจงที่พฤติกรรมทางเพศใดเพศหนึ่ง
นักศาสนศาสตร์บางท่านเสนอว่า การพิพากษาในวิวรณ์เน้นที่การต่อต้านระบบกดขี่และความอยุติธรรมในสังคม มากกว่าจะเป็นการตัดสินพฤติกรรมส่วนบุคคล
ในบริบทของการกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ หลักคำสอนส่วนใหญ่เน้นที่ความรอดผ่านความเชื่อและพระคุณของพระเจ้า มากกว่าการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมอย่างเคร่งครัด
นักวิชาการบางท่านเสนอว่า ภาพของ "นครใหม่" ในวิวรณ์อาจเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่ยุติธรรมและครอบคลุมทุกคน ซึ่งอาจรวมถึงการยอมรับความหลากหลายทางเพศด้วย
อย่างไรก็ตาม การตีความวิวรณ์ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงการศาสนศาสตร์ และมีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คำสอนเหล่านี้ในบริบทร่วมสมัย
สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า การตีความพระคัมภีร์ โดยเฉพาะหนังสือที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์อย่างวิวรณ์ ควรทำด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวรรณกรรม
ในท้ายที่สุด การพิจารณาประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกันในบริบทของวิวรณ์และการกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ควรนำไปสู่การไตร่ตรองเกี่ยวกับความรัก ความเมตตา และความยุติธรรมของพระเจ้า มากกว่าการตัดสินหรือประณามผู้อื่น
หมวดหมู่ย่อย
LGBQT+ ในมุมมองคาทอลิก
LGBQT+ ในสายตาพระคัมภีร์
สมรสเท่าเทียมของคาทอลิก
คาทอลิกที่เป็น LGBQT+
ถามตอบสำคัญสำหรับ LGBQT+
LGBQT+สมัครเรียนคำสอน