สาระพระคัมภีร์
สู่ความเข้าใจใหม่ในพระคัมภีร์
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา คนทั่วไปเข้าใจว่าเมืองโสดม (ดู ปฐมกาล 19:1-11) ถูกพระเจ้าลงโทษ เนื่องจากบาปของการรักร่วมเพศ นักพระคัมภีร์และนักเทววิทยาปัจจุบันส่วนหนึ่ง ให้ความเห็นแตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าบาปของเมืองโสดมเป็นบาปที่เกี่ยวเนื่องจากการที่ไม่ได้ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ( Helminiak, Daniel A. What the Bible really says about homosexuality ) ซึ่งในเขตทะเลทรายที่หนาวเหน็บ การไม่ต้อนรับแขกเข้ามาพักอาศัยในบ้านเรือน ปล่อยให้แขกต้องรอนแรมอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น หมายถึงอันตรายถึงชีวิตทีเดียว ซึ่งกฎข้อนี้เป็นกฎที่สำคัญในทะเลทราย แม้กระทั่งในปัจจุบัน กฎนี้ก็ยังถูกใช้อยู่
ในพระคัมภีร์เก่าเอง ก็มีการอ้างอิงถึงเมืองโสดม 21 ครั้ง ในทั้งหมด 21 ครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งใดที่ได้กล่าวถึงบาปของเมืองโสดมอันเกิดจากการรักร่วมเพศเลย แต่กลับเป็นบาปของความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสและการโกหก แม้แต่พระเยซูเจ้าก็อ้างถึงเมืองโสดมในแง่ของการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า
เสียงร้องจากมุมมืด
"แม่ครับ…ถ้าแม่จะกรุณา ได้โปรดเข้าใจด้วยว่าผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นเกย์…ถึงจะเป็นเกย์ แต่ผมก็เป็นคนดี ผมมีความรักให้ผู้อื่น ผมอยากให้แม่รู้จักและรักผม….จดหมายจากแอนดรูว์ถึงแม่"
"ตั้งแต่ผมเรียนอยู่ในวิทยาลัย ผมปฏิเสธความเป็นเกย์ของตัวเอง ผมโกหกตัวเอง กลัวตัวเอง ผมทำให้ตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ทรมานด้วยการใช้ชีวิตอย่างขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง…จดหมายจากบัตต์ถึงพ่อและแม่"
"มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ผมอยากจะเล่าให้พ่อแม่ฟังเหลือเกิน แต่ผมต้องเก็บมันไว้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสนใจทางเพศของผม…จดหมายจากดั๊กถึงพ่อแม่"
นี่เป็นตัวอย่างของคน 3 คนที่ต้องโกหกตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ เขาทั้งสามได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนเอง แต่เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง บอกความจริงกับตัวเอง ครอบครัวและสังคม พวกเขาเป็นคนในจำนวนน้อยคนนักที่ได้มีโอกาสรับรู้ว่า เขาไม่ใช่คน "ผิดปรกติ" "ผิดมนุษย์" หรือ "ผิดธรรมชาติ" แต่เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถที่จะรัก และสมควรที่จะมีคนอื่นที่รักเขาอย่างที่เขาเป็น ยังมีเกย์และเลสเบี้ยนอีกเป็นจำนวนมากในโลกใบนี้ ที่ต้องตกอยู่ในความโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ต้องโกหกตัวเองหรือแม้แต่ปฏิเสธความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนบาป ทั้งจากคนในครอบครัวและสังคม มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ บางคนถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ ต้องตายไปโดยไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าชีวิตของพวกเขามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้ามากเพียงใด
พระเยซูเจ้าเองบังเกิดมาในโลกท่ามกลางความอยุติธรรม การแบ่งแยกขีดขั้น การดูถูกเหยียดหยามของ "มนุษย์" ด้วยกันเอง ทรงบังเกิดมาเพื่อรวบรวมฝูงแกะของพระองค์อีกครั้ง ทรงเข้าสังคมกินเลี้ยงกับผู้ที่สังคมตราหน้าว่าเป็น "คนบาป" ทรงแตะต้องคนโรคเรื้อนที่ทุกคนขยะแขยง ทรงไถ่กู้ศักดิ์ศรีของโสเภณีที่ถูกสังคมประนาม
พระเยซูได้ทรงชุบชีวิตลาซารัสเพื่อนของพระองค์ให้ฟื้นจากความตาย นำเขาออกมาจากหลุมศพ จากที่อ้างว้างโดดเดี่ยว เมื่อพระองค์เรียกให้ลาซารัสออกจากหลุมศพ ลาซารัสถูกมัดทั้งมือและเท้า มีผ้าปกคลุมใบหน้าเหมือนดั่งคนที่ต้องซ่อนเร้นความเป็นตัวของตัวเอง พระคริสต์บอกทางให้คนอื่นๆ เข้าไปช่วยแก้มัดเขา ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพันธนาการ
เราในฐานะผู้ดำเนินรอยตามพระคริสต์ควรจะเป็นคนนั้น ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากพันธนาการ เราพร้อมหรือยังที่จะคืนศักดิ์ศรีความเป็นบุตรพระเจ้าให้กับพวกเขา เราพร้อมหรือยังที่จะบอกพวกเขาว่า "ฉันรักเธอ" เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักเราโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
(บทความนี้เคยตีพิมพ์ใน นิตยสาร "อิสระ" ปีที่ 21 ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน 2541 การนำมาลงครั้งนี้ได้ขัดเกลาเล็กน้อยเพื่อความกระชับสำหรับการอ่านบนจอคอมพิวเตอร์ คณะผู้จัดทำอิสระดอทคอมขอขอบคุณ คุณ "นางสาวชาวแบงค์" และ บรรณาธิการ คุณ "กวี อมรพัฒนา" เป็นอย่างยิ่งครับ
ขอขอบคุณ newmana.com